Last updated: 12 เม.ย 2568 | 53 จำนวนผู้เข้าชม |
การขับรถ EV กลางแดดเปรี้ยง อุณหภูมิไข่สุก ไม่สนุกเท่าไหร่ เพราะยังไม่มีถนนสายไหนทำหลังคากันแดดให้รถวิ่งกันยาวๆ ยิ่งเวลาแบตฯใกล้หมดก็หา “สถานีชาร์จในฝัน” ที่ทำหลังคากันแดดกันฝนให้ลูกค้าได้ยากเย็นเต็มที ครั้นจะเอา “ร่มชายหาด” กางบนหลังคารถก็คงจะปลิวหายไปกับสายลมตั้งแต่รถออกตัวแล้ว แต่มีวิธีที่พอจะช่วยรักษารถยนต์ไฟฟ้าคันเก่งให้อยู่รอดปลอดภัยจากความร้อนกันได้...
1.ยึดทางสายกลางในการชาร์จ! ไม่ชาร์จแบตฯแบบสุดโต่ง
ไม่ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% เพราะจะส่งผลให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้นลง บรรดาเกจิ EV และค่ายรถแนะนำให้ชาร์จไว้ที่ระดับ 70-80% ระหว่างเดินทางไม่ควรใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือน้อยกว่า 30% และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะขับเพลินจนแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง เหลือ 0% เพราะเป็นหนทางแห่งการเสื่อมของแบตฯอย่างรวดเร็ว เหมือนกรรมติดจรวด ที่สำคัญต้องเดือดร้อนหารถสไลด์มายกไปชาร์จเสียเงินเสียทองเปล่าๆ
2.หลีกเลี่ยงการจอดรถ รวมทั้งจอดชาร์จ ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงจัด เพราะแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าไม่ถูกโรคกับความร้อน เลือกชาร์จในสถานีชาร์จที่มีหลังคาหรืออยู่ในร่ม เพื่อให้ระบบบริหารจัดการความร้อนของแบตเตอรี่ไม่ทำงานหนักเกินไป
ภาพ : ChatGPT Image
3.หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงที่อุณหภูมิสะสมสูง โซนร้อนจัดของแต่ละวันอยู่ระหว่าง 11.00 น. - 16.00 น. หากจำเป็นต้องเดินทาง ให้วางแผนการเดินทางล่วงหน้า เลือกเส้นทางที่มีต้นไม้ร่มรื่นสองข้างทาง และแวะจอดพักรถพักคนในที่ร่มๆเป็นระยะ
4.ไม่ซิ่ง ไม่ขับด้วยความเร็วสูง เพราะจะเพิ่มการใช้พลังงานและเกิดความร้อนสะสมในแบตเตอรี่ ความเร็วที่เหมาะสม ทั้งประหยัดพลังงานและปลอดภัยจากอุบัติเหตุอยู่ที่ 80 กม./ชม. หากใช้ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. จะสิ้นเปลืองพลังงานสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ยังไม่ควรเร่งเครื่องอย่างรุนแรง เพราะจะเพิ่มการใช้พลังงาน รวมทั้งไม่ควรใช้เบรกอย่างรุนแรง เพราะทำให้เกิดความร้อนสะสม และสิ้นเปลืองพลังงานในการเร่งเครื่องขึ้นมาใหม่
5.คำนวณเวลาเดินทาง เผื่อเวลาชาร์จ
ควรเผื่อเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในทุกจุดชาร์จ เพื่อพักทั้งคนทั้งรถ คนขับจะได้ผ่อนคลายจากการเหนื่อยสะสม ขณะเดียวกันก็ช่วยลดอุณหภูมิแบตฯ รักษาอุณหภูมิในห้องโดยสาร ช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศ
6.หลังจากขับรถ EV มาระยะทางไกลๆชาร์จแบตเตอรี่ทันทีเลยดีไหม?
พักรถสัก 10-15 นาทีดีกว่า เพื่อให้แบตเตอรี่คลายความร้อน และตรวจสอบอุณหภูมิแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมก่อนชาร์จ จะช่วยให้ชาร์จได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม รถ EV ของหลายๆค่ายหลายรุ่นที่มีระบบเตรียมความพร้อมของแบตเตอรี่ (Battery Preconditioning) ให้พร้อมรองรับการชาร์จได้ทันทีมาให้แล้ว
7.นอกจากนี้ก่อนออกเดินทางควรเช็คสภาพรถให้พร้อมด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรก ยางรถยนต์ ไฟสัญญาณต่างๆ ฯลฯ สังเกตหารอยแตก รอยบวมของยาง หากพบความผิดปกติควรเปลี่ยน ปรับแรงดันลมยางให้ตรงตามค่าที่แนะนำไว้ในคู่มือรถ การเติมลมยางให้ตรงตามมาตรฐานจะช่วยลดแรงต้านทานการหมุนของล้อ เพิ่มระยะทางการวิ่ง ลมยางที่น้อยเกินไปจะทำให้รถต้องใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการเติมลมยางมากเกินไป เพราะอาจทำให้ยางระเบิดได้เมื่อสะสมความร้อนจนสูงเกิน
8.ไม่บรรทุกสัมภาระมากเกินไป เพราะจะทำให้รถมีน้ำหนักมากขึ้น ต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนมากขึ้นตามไปด้วย
9.สิ่งของต้องห้ามที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถ