Last updated: 4 มี.ค. 2568 | 213 จำนวนผู้เข้าชม |
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับนาย Suman K. Bery, รองประธาน National Institution for Transforming India Aayog (NITI Aayog) และคณะผู้บริหารระดับสูงของคณะกรรมาธิการอินเดีย ในโอกาสเข้าพบ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินเดีย ครอบคลุมตั้งแต่นโยบายอุตสาหกรรมของไทย และการส่งเสริมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเพื่อประโยชน์ของสองประเทศ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภัทรพล ลิ้มภักดี รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องรับรอง 1 ชั้น 2 กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568
ผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าหรือยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero-Emission Vehicle) อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในไทย ภายในปี ค.ศ. 2030 (30@30) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาและผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถโดยสาร เรือ และระบบราง ตลอดจนการผลิตแพลตฟอร์มและชิ้นส่วนสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า ขณะที่รัฐบาลอินเดียได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ที่สำคัญอินเดียมีศักยภาพการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนและชิ้นส่วนที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดในปัจจุบัน ซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศไทยสามารถขยายการส่งออกชิ้นส่วนและส่วนประกอบยานยนต์ไฟฟ้าไปยังอินเดียและตลาดที่อินเดียเป็นภาคีสมาชิกได้มากขึ้น
สำหรับอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ประเทศไทยตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องมือแพทย์ระดับอาเซียนภายในปี ค.ศ. 2027 ผ่านการพัฒนาศักยภาพการผลิตและนวัตกรรมด้านเครื่องมือแพทย์ ขณะที่อินเดียให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร โดยเน้นการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการยกระดับทักษะแรงงาน จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะสามารถส่งเสริมความร่วมมือในการผลิตยาและเวชภัณฑ์ร่วมกัน
นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ขับเคลื่อนแผนพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (พ.ศ. 2562-2570) เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารแห่งอนาคตของอาเซียนและติดอันดับ 1 ใน 10 ผู้ส่งออกอาหารของโลก ขณะที่อินเดียเป็นแหล่งวัตถุดิบและผู้ผลิตอาหารรายสำคัญของโลกเช่นกัน โดยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือด้านนี้จึงเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร และพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของทั้งสองประเทศ
ที่มา : เว็บรัฐบาลไทย