Last updated: 15 ก.พ. 2568 | 766 จำนวนผู้เข้าชม |
รถ EV เขย่าโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่งผลให้แรงงานรถสันดาปเสี่ยงตกงาน ทีดีอาร์ไอแนะทางออกให้นำรถยนต์สันดาปเก่ามาดัดแปลงเป็นรถยนต์ไฟฟ้า โดยเริ่มจากรถกระบะเก่าๆที่สามารถปรับเปลี่ยน (convert) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่าย ต้นทุนต่ำ และมีประโยชน์ใช้สอย เสนอผลักดันโครงการ “1 ตำบล 1 ช่างรถไฟฟ้าดัดแปลง” ปั้นช่างที่มีความรู้ด้าน electronics และ mechanics สร้างอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแบบไทย ๆ เพื่อดูดซับแรงงานที่ตกงานจากอุตฯยานยนต์ดั้งเดิม
ข้อเสนอแนะของทีดีอาร์ไอ :
รศ.ดร. ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาแรงงาน ทีดีอาร์ไอ และอลงกรณ์ ฉลาดสุข นักวิจัยนโยบายทรัพยากรมนุษย์ ทีดีอาร์ไอ ได้ร่วมเผยแพร่บทความ “รถ EV เขย่าโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ แรงงานรถสันดาปเสี่ยงตกงาน” ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้...
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ทุกรูปแบบตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา จนติดลำดับต้นๆของโลกในฐานะที่เป็นผู้ผลิต และส่งออกรถยนต์นั่งเกินกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งส่วนมากแล้วเป็นยานยนต์ประเภทสันดาปภายในเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ก่อให้เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมตลอดโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมนี้มากกว่า 4 แสนคน ในตลอด 20 ปีที่ผ่านมา (ปี 2546-2566)
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้มีงานทำในอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วน เริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา นับเป็นการส่งสัญญานการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอุตสาหกรรมนี้
รูปที่ 1 จำนวนผู้มีงานทำในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ปี 2546-2566
หมายเหตุ : 1. ปี 2544-2553 ใช้รหัสอุตสาหกรรม ISIC Rev. 3.0 แต่เทียบเป็นรหัส TSIC 2009
2. ปี 2554 ใช้รหัสอุตสาหกรรม TSIC 2009
3. ตั้งแต่ปี 2557 ขึ้นไป ค่าถ่วงน้ำหนักประชากรเปลี่ยนตามการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย 2553-83
ที่มา : ข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร, สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ไทยกับโอกาสที่สูญเสียไป
แม้ว่าไทยจะเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์ในลำดับต้นของโลก แต่ไทยสูญเสียโอกาสที่สำคัญคือ ขาดการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ที่เป็นของคนไทยเอง ยานยนต์ที่จำหน่ายในประเทศไทยล้วนใช้ผลการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมจากบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแทบทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาด้านการแข่งขันในตลาดยานยนต์ ประกอบกับความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาไปสู่การผลิตยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือ ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric vehicles) ที่ใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอร์รี่ และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งชิ้นส่วนในการประกอบยานยนต์ไฟฟ้าทั้งคันใช้ชิ้นส่วน เพียง 4-5 พันชิ้นต่อคัน ขณะที่รถยนต์แบบเดิมที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในใช้ชิ้นส่วนมากกว่าถึง 10 เท่าตัวเป็นอย่างน้อย จึงทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการจ้างงานตลอดโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์แบบดั้งเดิม
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยมีขีดความสามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ที่ผลิตเกือบ 2 ล้านคันได้มากกว่า 8 แสนคันต่อปี ทำให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีรถยนต์สะสมมากขึ้น
จากสถิติของกรมการขนส่งทางบกพบว่า ปี 2562 จำนวนรถยนต์ในประเทศไทยประมาณ 40.47 ล้านคัน เพิ่มขึ้นเป็น 44.76 ล้านคันในปี 2567 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราถดถอย โดยระหว่างปี 2562 – ปี 2563 มีรถยนต์เพิ่มขึ้น 0.77 ล้านคัน คิดเป็นร้อยละ 1.9 ลดลงมาเหลือปีละ 0.58 ล้านคัน หรือเหลือเพียงร้อยละ 1.38 โดยตลอด 5 ปี ระหว่าง ปี2562-2567 มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.12 ในช่วงที่ทำการศึกษา
จากตารางที่ 1 จะเห็นว่าช่วง 2 ปีงบประมาณ 2566 และ 2567 เกิดจำนวนรถยนต์ขยายตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยังเดายากว่าเกิดจากเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกหลัง COVID-19 ระบาด หรือเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของรถ หรือยานยนต์ในประเทศไทยกันแน่
โดยข้อมูลของกรมขนส่งทางบกเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2562 มีรถจดทะเบียนใหม่ในปี 2562 จำนวน 3.10 ล้านคัน และเมื่อผ่านช่วงระบาดของ COVID-19 ปีงบประมาณ 2566 กลับพบว่าจำนวนรถจดทะเบียนใหม่ยังไม่ฟื้นตัวเหลือ 3.08 ล้านคัน หรือลดลงเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 0.2 โดยจำนวนรถใหม่ที่จดทะเบียนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปีงบประมาณ 2566 ถึง 2567 ซึ่งลดลงถึงร้อยละ 13.16 หรือเหลือ 2.67 ล้านคัน
รถ EV โต – สันดาปตัน
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำไปสู่คำถามที่ว่า ความต้องการที่ลดลงไปเป็นเรื่องของอำนาจซื้อลดลงไปหรือไม่ แล้วจะกระทบต่อ “แรงงาน” ที่ทำงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จดทะเบียนน้อยลงหรือไม่อย่างไร รวมทั้งผลกระทบจากการที่ยานยนต์ไฟฟ้า เข้ามาทดแทนรถยนต์ประเภทสันดาปภายใน (สามารถดูได้จากรูปที่ 2 ซึ่งแสดงแนวโน้มของประเภทรถยนต์จำแนกตามชนิดเชื้อเพลิง)
รูปที่ 2 แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของรถยนต์จำแนกตามชนิดเชื้อเพลิง
ที่มา : ดัดแปลงจากข้อมูลรายงานสถิติการขนส่ง ปีงบประมาณ พ.ศ.2562-2567 โดยกรมการขนส่งทางบก
จากข้อมูลข้างต้นเห็นได้ว่าแนวโน้มของชนิดรถยนต์ซึ่งจำแนกตามชนิดเชื้อเพลิงแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดรถยนต์ในช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา โดยรถที่ต้องใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเติบโตไม่ถึงร้อยละ 1 และรถที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นก๊าซทั้ง LPG และ CNG การเติบโตลดลงอย่างหนักมากกว่าร้อยละ 10 ขณะที่ภาพรวมในช่วง 6 ปีระหว่างทีมวิจัยทำการศึกษา พบว่าการขยายตัวเริ่มถดถอยมาจากการเติบโตถึงร้อยละ 7
การเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ไทยในช่วงปี 2566-2567 โดยเฉพาะการเติบโตของยานยนต์พลังงานไฟฟ้ามีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 108 ต่อปี เพิ่มขึ้นจาก 99,000คัน ในปี 2566 เป็น 206,000 คัน ในปี 2567
ขณะที่รถยนต์ไฮบริดก็มีการเติบโตที่น่าสนใจเช่นกัน แม้จะมีอัตราการขยายตัวที่น้อยกว่าที่ร้อยละ 34.84 ต่อปี แต่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 376,000 คันในปี 2566 เป็น 507,000 คันในปี 2567 จากจำนวนรถยนต์รวมทั้งประเทศประมาณ 44 ล้านคัน
การเติบโตอย่างรวดเร็วของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและไฮบริดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย จากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่การใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เมื่อรถยนต์เครื่องสันดาปเริ่มไม่ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาดรถยนต์ในปัจจุบันจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไรบ้าง?
ตัวอย่างแนวทางแก้ไขคือ นำรถยนต์สันดาปมาดัดแปลงเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่รถทุกประเภทที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะสามารถนำมาปรับเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือทั้งต้นทุนในการปรับเปลี่ยนไม่สูงนักที่จะนำมาใช้ทำรถไฟฟ้าที่ใช้ได้อีก 6-10 ปีโดยไม่ต้องไปซื้อรถไฟฟ้าใหม่ แต่จะต้องมีความปลอดภัย และใช้ประโยชน์ได้อย่างประหยัดรวมทั้งช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อน ถ้าจะนำรถอายุน้อยๆมาปรับเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าก็ดูจะไม่สมเหตุสมผล
ดังนั้นจึงควรหารถที่เหมาะสมปรับเปลี่ยนได้ง่าย และไม่ใช้ต้นทุนสูงจนเกินไปในการปรับเปลี่ยน และยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย แล้วจะหารถประเภทใดมาใช้สำหรับการดัดแปลงเป็นรถยนต์ไฟฟ้า?
ทางออกสำหรับประเทศไทย ควรเริ่มจากรถที่สามารถปรับเปลี่ยน (convert) เป็นรถไฟฟ้าได้ง่าย ต้นทุนต่ำ และมีประโยชน์ใช้สอยได้มากคือ รถกระบะ รถบรรทุกส่วนบุคคลที่มีมากกว่า 5 แสน 8 หมื่นคัน หรือเกือบร้อยละ 50 ของรถบรรทุกสะสมทั้งหมด
ถ้าจะดำเนินการกับรถเก่าอายุเกิน 7 ปี คาดว่ามีประมาณร้อยละ 10 ของ 5.8 แสนคันคือ ประมาณ 4 แสนคน ถ้าตั้งเป้าเอาไว้เพียง 1 แสนคันที่จะปรับไปเป็นรถไฟฟ้าในเวลา 3 ปี ก็น่าจะดูดซับแรงงานสายช่างและซ่อมบำรุงได้ถึง 2 แสนคน กระจายทำงานอยู่ทั่วประเทศ ช่วยดูดซับแรงงานที่มีทักษะยานยนต์แบบเดิม ๆ ได้มาก