X

EVT เผย 5 เดือนทำรายได้ 40% ของเป้าหมายปีนี้ พร้อมประกาศหาผู้สนใจร่วมลงทุน

Last updated: 27 มิ.ย. 2567  |  328 จำนวนผู้เข้าชม  | 

“EVT” เผย 5 เดือนทำรายได้ 40% ของเป้าหมายปีนี้ พร้อมประกาศหาผู้สนใจร่วมลงทุน

บมจ.รถไฟฟ้า “EVT” เผย 5 เดือนทำรายได้ 40% ของเป้าหมาย คาด 7 เดือนที่เหลือของปีนี้สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย พร้อมประกาศหาผู้สนใจร่วมลงทุนกลุ่มภาคเอกชนร่วมเป็นพันธมิตรเป็นตัวแทนด้านการขาย และการให้บริการในทุกภูมิภาคของประเทศ

นายกฤศ โกษานันตชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท รถไฟฟ้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ EVT เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯสามารถทำรายได้ประมาณ 40% ของเป้าตลอดทั้งปีผ่านโครงการภาครัฐและเอกชน คาดว่าในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปีนี้ จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย โดย EVT จะเร่งขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ผ่านพันธมิตรคู่ค้าในภูมิภาคต่าง ๆ อีกทั้งจะมุ่งเน้นการขยายฐานธุรกิจไปยังธุรกิจภาคเอกชนที่มีความต้องการใช้รถโดยสารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

EVT เป็นผู้ให้บริการและจำหน่ายรถโดยสารไฟฟ้า 100% ให้บริการครบวงจรผ่านระบบการออกแบบรถให้สอดคล้องกับเส้นทาง การบริหารการเดินรถด้วยการออกแบบเส้นทางร่วมกับลูกค้า การจัดหาพนักงานขับรถและพนักงานต้อนรับบนรถ รวมถึงการวางโครงข่ายระบบนิเวศน์ของรถไฟฟ้าเช่นสถานที่จอดรถ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า รวมทั้งยังมีการพัฒนา Application ติดตามรถบนมือถือแบบ Realtime ให้กับผู้โดยสาร และการให้บริการหลังการขาย การฝึกอบรมพนักงาน โดยเป็นการนำเสนอ Solution ที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกค้า

“ผู้สนใจลงทุนเพียงแค่ตั้งงบประมาณที่ทำให้โครงการสามารถดำเนินการได้ หน้าที่ทำต่อจากนั้น EVT เป็นผู้ดำเนินการให้กับลูกค้า จึงทำให้เกิดความพึงพอใจ และส่วนใหญ่เมื่อได้ร่วมงานกับเราแล้ว มักจะมีการบอกต่อและมีการใช้บริการจากเราอย่างต่อเนื่อง ซึ่งลูกค้าไม่จำเป็นต้องรับภาระการดูแลรถ เพราะบริการของเราเป็นลักษณะสัญญาว่าจ้างระยะยาว รวมถึงการซ่อมบำรุง”

นายกฤศ กล่าวว่าปัจจุบัน ลูกค้าของ EVT ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษา หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ และโรงพยาบาล ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้ มีความประสงค์ลดการใช้รถส่วนตัวของพนักงานเพื่อลดปัญหาจราจร และต้องการมีส่วนร่วมต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงสนใจใช้รถโดยสารไฟฟ้า ซึ่ง EVT มีประสบการณ์ยาวนานถึง 30 ปี ในการให้บริการการเดินรถโดยสารไฟฟ้า

“ที่ผ่านมีลูกค้าติดต่อเข้ามาจากทั่วประเทศจำนวนมาก เพราะสนใจในรูปลักษณ์ทันสมัย ความสะดวกสบายภายในตัวรถ การให้บริการที่ดีของพนักงานประจำรถ การรักษาสิ่งแวดล้อม การลดปัญหาจราจรรอบบริเวณที่ทำงาน ขณะที่เราเองต้องการให้บริการของเราสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมองหาพันธมิตรในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศที่มีประสบการณ์ด้านการให้บริการรถยนต์และเครือข่ายลูกค้ามาร่วมงานกับเรา โดยมีหลักปรัชญาการร่วมงานกันว่าเราจะโตไปด้วยกัน”

นายกฤศกล่าวต่อไปอีกว่า กลุ่มเป้าหมายต่อจากหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ EVT ต้องการรุกเข้าไปพัฒนาตลาดกลุ่มภาคเอกชนที่มีความต้องการใช้รถโดยสารไฟฟ้าเพื่อให้บริการพนักงานภายในองค์กรและผู้ติดต่อกับหน่วยงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อกับองค์กร อย่างเช่นโรงพยาบาลใจกลางเมือง มักมีปัญหาเรื่องที่จอดรถและการจราจรภายในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหามลพิษบริเวณรอบโรงพยาบาล การใช้บริการของ EVT จึงเป็นการแก้ไขที่ตรงประเด็น ทำให้เราสามารถนำต้นแบบนี้ไปนำเสนอกับลูกค้าภาคเอกชนได้

EVT มีเป้าหมายแต่งตั้งพันธมิตรให้เป็นตัวแทนด้านการขายและบริการของ EVT ในแต่ละภูมิภาค เพื่อดำเนินการและรับผิดชอบด้านการขายและการบริการหลังการขาย โดยพันธมิตรที่ได้รับการแต่งตั้งต้องมีความรู้ความชำนาญด้านการขายและบริการรถโดยสารไฟฟ้า อีกทั้งต้องมีสถานที่สำหรับติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับให้บริการ โดย EVT จะถ่ายทอดเทคโนโลยีในตัวรถ EVT ให้แก่พันธมิตรเพื่อประสิทธิภาพในการให้บริการและการทำตลาดในแต่ละภูมิภาค ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งเจรจาเพื่อหาข้อสรุปกับผู้สนใจ คาดว่าจะหาข้อสรุปได้ในเร็ว ๆ นี้

นายกฤศกล่าวว่าการรุกการทำตลาดในช่วงนี้ ถือเป็นจังหวะที่ดีเพราะรัฐบาลได้กำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้รถโดยสารและรถบรรทุกไฟฟ้า โดยล่าสุด คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้ออกมาตรการให้บริษัทหรือนิติบุคคลที่เข้าร่วมโครงการซื้อรถโดยสารหรือรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งานโดยไม่มีกำหนดเพดานราคาขั้นสูง ซึ่งกรณีซื้อรถที่ผลิต/ประกอบในประเทศ สามารถนำมาหักค่าใช้จ่าย ได้ 2 เท่า และในกรณีนำเข้ารถสำเร็จรูปจากต่างประเทศ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า มาตรการนี้จะมี ผลใช้บังคับจนถึงสิ้นปี 2568              

การออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากมาตรการ EV3 และ EV3.5 ที่เน้นกลุ่มรถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ และรถกระบะเป็นหลัก ซึ่งบอร์ดอีวีคาดว่าการสนับสนุนการใช้รถไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ครั้งนี้ จะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 10,000 คัน อันจะมีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอีวีของภูมิภาคในรถยนต์ทุกประเภท

ที่มา: 24 คูณ 7

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้