X

โฉมใหม่ New Continental GT Speed สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์ พลังไฮบริด

Last updated: 26 มิ.ย. 2567  |  263 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โฉมใหม่ New Continental GT Speed สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์ พลังไฮบริด

เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เผยโฉม New Continental GT Speed สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์พลังไฮบริด เจเนอเรชันที่ 4 หลังจาก 21 ปีแห่งการถือกำเนิดยนตรกรรมตระกูล Continental GT พร้อมกำหนดนิยามใหม่แห่งการผสมผสานสมรรถนะระดับซุปเปอร์คาร์ ความหรูหราในแบบฉบับงานฝีมือ และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบเหนือระดับ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567

การเปิดรับคำสั่งจอง New Continental GT Speed เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มอบขอเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการสั่งจองรถยนต์เบนท์ลีย์รุ่น New Continental GT Speed ดังนี้:

  • รุ่น New Continental GT Speed ราคาเริ่มต้นที่ 26.9 ล้านบาท
  • รุ่น New Continental GT Convertible Speed ราคาเริ่มต้นที่ 29.5 ล้านบาท

ผู้ครอบครองรถยนต์เบนท์ลีย์จาก เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด รับเอกสิทธิ์การบริการหลังการขายมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิตและบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour Bentley Roadside Assistance) นาน 3 ปีเต็ม พร้อมรับสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี


New Continental GT Speed ผ่านการออกแบบภายนอกและภายในห้องโดยสารใหม่ทั้งหมดมาพร้อมกับรายละเอียดที่ร่วมสมัยตามดีเอ็นเอการออกแบบใหม่ของรุ่น Bentley Bacalar และ Bentley Batur สมรรถนะที่โดดเด่นมาจากขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ มอบพละกำลังกว่า 782 แรงม้า แรงบิด 1,000 นิวตันเมตรจากเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตรที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 190 แรงม้า ผลลัพธ์ที่ได้ คือ อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ใน 3.2 วินาที มีพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนกว่า 81 กิโลเมตร ระยะทางรวมกว่า 859 กิโลเมตร ตอกย้ำความเป็นซุปเปอร์คาร์ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ


ประสิทธิภาพแห่งขุมพลังเครื่องยนต์มาพร้อมระบบแชสซีใหม่ด้วยถุงลมคู่ใหม่ที่จับคู่กับแดมเปอร์วาล์วคู่ใหม่ พร้อมด้วย Bentley Dynamic Ride (ระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์) เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (eLSD) และระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง พร้อมด้วยประสิทธิภาพในการขับขี่ที่น่าทึ่งและความสบายในการขับขี่ที่ดีที่สุดในปัจจุบันอันเป็นผลลัพธ์มาจากการถ่ายเทน้ำหนักของรถขับเคลื่อนล้อหลังแบบ 49:51


ชุดเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยมอบความประสิทธิภาพในการขับขี่ที่เหนือชั้นเพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นประสบการณ์ที่ราบรื่นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสาร และการเชื่อมต่อระบบภายในรถยนต์

การออกแบบภายนอกใหม่ถือเป็นการปฏิวัติการออกแบบยนตรกรรมเบนท์ลีย์ในอนาคตด้วยการพลิกโฉมการออกแบบ Continental GT ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ และถือเป็นยนตรกรรมเรือธงรุ่นแรกที่มีไฟหน้าแบบเดี่ยวนับตั้งแต่ปี 2493
 
มากไปกว่านั้น การออกแบบภายในห้องโดยสารด้วยวัสดุคุณภาพ และงานฝีมือชั้นสูงยังคงมาพร้อมกับการนำเทคโนโลยีเบาะนั่งเพื่อสุขภาพ ระบบฟอกอากาศแบบใหม่ พื้นผิวหนังขึ้นรูปแบบ 3 มิติ การควิลท์แบบร่วมสมัย และการตกแต่งทางเทคนิค เช่น โครเมียมเฉดสีใหม่มาเติมเต็มความเป็นที่สุดให้กับอัครยนตรกรรมรุ่นนี้

 ระบบไฟฟ้าขนาด 400 โวลต์ใหม่และเทคโนโลยีขุมพลังล้ำสมัยที่สุดที่ในปัจจุบันมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำที่สุดเพียง 29 กรัม ต่อ กิโลเมตร พร้อมพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้ากว่า 81 กิโลเมตร (WLTP)
 

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเบนท์ลีย์ที่ยนตรกรรมแบบคูเป้ รุ่น Continental GT และรุ่น Continental GTC แบบเปิดประทุนจะเปิดตัวพร้อมกันเพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเลือกครอบครองอัครยนตรกรรมที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตนเองให้ได้มากที่สุด

New Continental GT และ New Continental GTC จะถูกประกอบขึ้นด้วยช่างฝีมือทั้งหมด ณ Bentley’s Dream Factory เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ โดยจะเริ่มต้นสายการผลิตและการส่งมอบภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้


ขุมพลัง The Ultra Performance Hybrid

Continental GT Speed โฉม​​ใหม่ มาพร้อมขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ได้รับการพัฒนาให้ผสานเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตรใหม่ที่สามารถผลิตพละกำลังกว่า 600 แรงม้าเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลัง 190 แรงม้า มอบพละกำลังสูงสุด 782 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 335 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง

แรงบิดได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับ Continental GT Speed ​​​​ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์รุ่น W12 จาก 900 นิวตันเมตร เป็น 1,000 นิวตันเมตร พละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า 19% จาก 659 แรงม้า เป็น 782 แรงม้า ทำให้ Continental GT Speed ​​ใหม่เป็นยนตรกรรมทรงพลังเหนือกว่ารุ่น Supersports รุ่นที่ 2 และรุ่น Batur

ทั้งนี้พละกำลังจะถูกส่งผ่านระบบส่งกำลังแบบคลัตช์คู่ 8 สปีดและเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (eLSD) ไปยังล้อทั้ง 4 เพื่อการจ่ายกำลังที่ยอดเยี่ยมและการยึดเกาะถนนที่มั่นคงที่สุดในทุกสภาพถนน ระบบจะควบคุมการไหลของพลังงานตามโหมดที่เลือก โหมดไฟฟ้าจะเป็นการเพิ่มพลังงานไฟฟ้า การเบรกแบบจ่ายพลังงานใหม่ ที่สำคัญคือโหมดชาร์จที่เครื่องยนต์จะขับเคลื่อนล้อและชาร์จแบตเตอรี่ในเวลาเดียวกัน



ขุมพลังใหม่มอบสมรรถนะขั้นสูงสุด ทำให้ Continental GT รุ่นล่าสุดแตกต่างจากยนตรกรรมสปอร์ตหรูรุ่นอื่นๆ ด้วยแรงม้าและแรงบิดที่มากขึ้น พร้อมประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และอัตราการลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ประมาณหนึ่งในสิบของเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป ในทางกลับกัน เครื่องยนต์แบบไฮบริดสมรรถนะสูงจะมอบความสามารถในการขับขี่ที่หลากหลาย ตั้งแต่สมรรถนะขั้นสูงสุดไปจนถึงการขับขี่เงียบสงบด้วยพลังงานไฟฟ้า

ผลจากการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์รุ่น V8 และพลังงานไฟฟ้า Continental GT โฉมใหม่จึงสามารถส่งมอบพละกำลังและแรงบิดที่ได้รับการพัฒนาตลอดทุกช่วงรอบ รวมถึงการเสริมพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการเร่งความเร็วที่มีเสถียรภาพตั้งแต่ย่านความเร็วต่ำและตลอดช่วงกลาง พร้อมด้วยสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องยนต์รุ่น V8 ที่ย่านความเร็วสูงขึ้น    
การขับขี่ในโหมดไฟฟ้าจะช่วยให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินกับการขับขี่ที่เงียบสงบและต่อเนื่อง โดยในโหมดไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวสามารถผลิตพละกำลังได้ 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งด้วยการพัฒนาขั้นสูงของเครื่องชาร์จและความจุของแบตเตอรี่ด้วยกำลังชาร์จสูงสุด 11 กิโลวัตต์



แชสซีที่มีประสิทธิภาพสูง

Bentley Performance Active Chassis เป็นแชสซีใหม่ที่รวมเอาระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟ เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง ระบบป้องกันการโคลงตัวด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ หรือ Bentley Dynamic Ride และซอฟต์แวร์ควบคุม ESC รุ่นใหม่เข้าไว้ด้วยกัน ส่วนตัวรถยังได้รับการติดตั้งระบบแดมเปอร์วาล์วคู่ใหม่และถุงลมคู่ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่ที่ผสมผสานสมรรถนะ ประสิทธิภาพในการควบคุม และความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้

 ความสามารถด้านไดนามิกโดยรวมและประสิทธิภาพในการบังคับเลี้ยวได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นด้วยการกระจายน้ำหนักที่สมบูรณ์ของรถแบบ 50:50 เป็นผลมาจากการวางตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ไฮบริด การกระจายน้ำหนักทำให้รถมีความสมดุลระหว่างการขับขี่แบบไดนามิก ช่วยให้เข้าถึงรูปแบบการขับขี่ได้หลากหลายยิ่งขึ้น และด้วยระบบ ESC ขั้นสูงที่ทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้สามารถควบคุมการยึดเกาะถนนเพื่อยับยั้งการโอเวอร์สเตียร์ นอกจากนี้ ระบบ ESC ยังสามารถปิดได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อผู้ขับขี่สามารถปรับท่าทางในการเข้าโค้งของตัวรถให้สมดุลเพื่อให้ได้ประสบการณ์การขับขี่ที่ไดนามิกที่สุด ทำให้การใช้โหมดความสะดวกสบายนั้นสะดวกสบายยิ่งขึ้น และโหมดสปอร์ตก็สามารถควบคุมตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


การออกแบบเน้นเส้นสายแห่งพลังและความร่วมสมัย

ตัวรถทั้งคันได้รับการรังสรรค์ด้วยรอยต่อบนพื้นผิวที่น้อยลง เผยให้เห็นทรวดทรงและรูปร่างที่ประณีตยิ่งขึ้น ด้านหน้าของตัวรถได้รับการออกแบบใหม่ ตั้งแต่ชุดแต่งตัวถังไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมาสำหรับรุ่น Continental GT นั้นก็คือการตกแต่งด้วยไฟหน้าแบบเดี่ยว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้รูปลักษณ์ของ Continental GT ใหม่มีการแสดงออกชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากการแสดงออกของเสือนักล่า

 
New Continental GT มาพร้อมกับไฟหน้าลักษณะ 'คิ้ว' แนวนอนใหม่ พร้อมด้วยเอฟเฟกต์เพชรเจียระไนด้านบนกรอบไฟ และหลอดไฟสำหรับการส่องสว่างด้านล่างที่ไฟหน้า LED แบบเมทริกซ์ประกอบด้วยไฟ LED แยกกันจำนวนกว่า 120 ดวงที่ได้รับการควบคุมแบบดิจิทัลสำหรับไฟต่ำไปจนถึงการเพิ่มกำลังไฟสูง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหลอดไฟโดยที่ลำแสงหลักจะขยายขอบเขตการส่องสว่างให้กว้างมากยิ่งขึ้น และมีการหรี่แสงที่ดีขึ้น ทำให้การเปลี่ยนจากบริเวณที่มีแสงสว่างไปยังบริเวณที่ไม่มีแสงสว่างค่อยเป็นค่อยไป การมองถนนเบื้องหน้าจึงมีความเป็นธรรมชาติและให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่อนคลายโดยปราศจาก "หลุมดำ" ในขอบเขตของการมองเห็น
 
ด้านท้ายตัวรถได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่กันชน ไฟท้าย ฝากระโปรงท้าย และท่อไอเสีย ฝากระโปรงท้ายถูกออกแบบให้มีรูปแบบแอโรไดนามิกเพื่อเสริมแรงกดด้านหลังโดยไม่จำเป็นต้องเปิดใช้สปอยเลอร์ พร้อมกับกันชนที่ได้รับการออกแบบให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการเน้นความกว้างของตัวรถ ขณะที่ตัวรถยังดูสะอาดตาและมีการตกแต่งที่น้อยลง

ไฟท้ายมาพร้อมกับการออกแบบใหม่ที่น่าทึ่งด้วยกราฟิกที่กว้างขึ้นทอดยาวไปถึงฝากระโปรงหลัง ขอบไฟยื่นออกมาจากช่องเก็บสัมภาระ พร้อมกับภายในที่ตกแต่งด้วยลวดลายเพชรแบบ 3 มิติทอดยาวตลอดรูปทรง เมื่อส่องสว่างส่วนปลายของเพชรจะเห็นได้อย่างเด่นชัด ทำให้เกิดเอฟเฟกต์ภาพเสมือนลาวาหลอมเหลว

ล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วใหม่มีการออกแบบที่โดดเด่นด้วยแรงบันดาลใจจากเสือ โดยมี 'กรงเล็บ' ของล้ออัลลอยด์ที่จะสัมผัสไปตามพื้นถนน รูปแบบล้ออัลลอยด์แบบใหม่มีให้เลือกทั้งในโทนเฉดสีเข้มแบบมัน-เงา เฉดสีดำเงา หรือเฉดสีเงิน


บรรทัดฐานใหม่ของการออกแบบภายในห้องโดยสาร

ภายในห้องโดยสารของแกรนด์ ทัวเรอร์ โฉมใหม่ตกแต่งด้วยลวดลายการควิลท์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบแฟชั่นแบบร่วมสมัยบริเวณเบาะโดยสารและประตูห้องโดยสาร และด้วยการแกะสลักงานควิลท์ การปรุสีซีด และการปักควิลท์แบบใหม่ บรรยากาศภายห้องโดยสารจึงเป็นเหมือนสภาพแวดล้อมของรังไหมให้ทุกการเดินทางพิเศษกว่าที่เคย

เบาะโดยสารเป็นแบบปรับได้ 20 ทิศทางใน Continental GT โฉมใหม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มยนตรกรรมหรูมาอย่างยาวนานในด้านความสะดวกสบายและความประณีต ซึ่งเบาะโดยสารเพื่อสุขภาพนั้น มาพร้อมกับระบบปรับท่าทางและระบบปรับอุณหภูมิแบบอัตโนมัติ สำหรับเบาะโดยสารคู่หน้าจะช่วยลดความเมื่อยล้าและมอบความผ่อนคลายในระหว่างการเดินทาง
 
การตกแต่งแบบ Dark Chrome จะมอบความสวยงามที่ร่วมสมัยยิ่งขึ้น ทำให้ห้องโดยสารดูมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการตกแต่งมือจับประตู สวิตช์ หน้ากากของลำโพง และพื้นที่บริเวณโดยรอบห้องโดยสาร ซึ่ง Mulliner แผนกออกแบบพิเศษของเบนท์ลีย์ มอเตอร์สสามารถรังสรรค์คุณสมบัติพิเศษที่จะช่วยให้ยนตรกรรมรุ่นล่าสุดมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นได้

 ระบบเสียงใน Continental GT โฉมใหม่ มีให้เลือก 3 แบบด้วยกันกับระบบเสียงมาตรฐานประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 10 ตัว ขนาด 650 วัตต์ และระบบเสียงจาก Bang & Olufsen ที่ประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 16 ตัว ขนาด 1,500 วัตต์ ตกแต่งด้วยหน้ากากลำโพงเรืองแสงสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบแนวไลฟ์สไตล์ และปิดท้ายด้วยระบบเสียงจาก Naim ขนาด 2,200 วัตต์ พร้อมด้วยลำโพงจำนวน 18 ตัว และเครื่องแปลงความถี่เสียง Active Bass Transducers ที่ติดตั้งอยู่ภายในเบาะโดยสารคู่หน้าและโหมดเสียง 8 โหมดสำหรับผู้ที่หลงรักในเสียงเพลงอย่างแท้จริง ขณะที่กระจกกันเสียงแบบลามิเนตนั้นติดตั้งสำหรับกระจกบังลมและหน้าต่างด้านข้างเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก สามารถลดลงได้ 9 เดซิเบลเมื่อเทียบกับกระจกแบบธรรมดา  

Continental GT ใหม่ นำเสนอนวัตกรรมหน้าจอแสดงผลแบบหมุนได้อันเป็นเอกลักษณ์ของเบนท์ลีย์ ซึ่งเป็นหน้าจอแสดงผล 3 ด้าน ประกอบด้วยจอแสดงผลระบบสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว หน้าปัดแอนะล็อกสุดคลาสสิก 3 หน้าปัด และด้านที่บุด้วยแผ่นไม้วีเนียร์ ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนทั้ง 3 ด้านได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว

ระบบไฟหลากสีภายในห้องโดยสาร (Mood Lighting) ตกแต่งรอบห้องโดยสารเพื่อสร้างเอฟเฟกต์แบบรังไหม ผู้ขับขี่สามารถเลือกเฉดสีของแสงไฟได้กว่า 30 เฉดสี


เทคโนโลยีสุดล้ำสมัย

Continental GT และ GTC Speed ​ รุ่นใหม่ได้รับการติดตั้งระบบไฟฟ้าเจเนอเรชันล่าสุด ถือเป็นก้าวสำคัญในด้านเทคโนโลยีความบันเทิงภายในรถยนต์และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ชุดเทคโนโลยีเหล่านี้ล้ำหน้าที่สุดในกลุ่มยนตรกรรมหรู และมีการแข่งขันสูงในกลุ่มลูกค้าจากแบรนด์ในระดับเดียวกันที่หันมาสนใจในแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์

การแสดงสภาพแวดล้อมบนแผงหน้าปัดสำหรับคนขับสามารถรองรับและเปิดใช้งานการขับขี่ในโหมดกึ่งช่วยเหลือ โดยระบบจะให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้ขับขี่ว่าควรจะตอบสนองต่อรถคันอื่นอย่างไร การรับรู้ของตัวรถเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบจะช่วยเสริมกับระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ซึ่งเป็นระบบจอดรถด้วยตนเองรุ่นล่าสุดพร้อมด้วยระบบควบคุมความเร็ว

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไม่ได้จำกัดในด้านการขับขี่เท่านั้น แต่ระบบปรับอากาศยังได้รับการพัฒนาคุณภาพของอากาศภายในห้องโดยสารด้วยเครื่องฟอกอากาศ ตัวกรองอนุภาคแบบใหม่ และจอแสดงผลที่แสดงคุณภาพอากาศทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร คุณสมบัติด้านความสะดวกสบายเหล่านี้จะทำให้ทุกการเดินทางได้รับประสบการณ์ที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น และสามารถปรับแต่งให้สะท้อนถึงความชอบส่วนตัวของผู้ขับขี่ได้ นอกจากนี้ ระบบของตัวรถยังเชื่อมต่อกับการนำทางด้วยดาวเทียม สามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อใดที่จำเป็นต้องปรับคุณภาพอากาศภายในห้องโดยสารด้วยการหมุนเวียนอากาศ

 

New Continental GT Speed ได้รับการพัฒนาคุณสมบัติที่สำคัญ อาทิ Apple CarPlay, Android Auto และการอัปเดตแผนที่แบบ Over-the-air นอกเหนือจากคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว ผู้ขับขี่จะยังได้เพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่ออื่น อาทิ

  • การเช็คสถานะการชาร์จระยะไกลที่จะช่วยให้สามารถตรวจสอบและควบคุมการชาร์จรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย
  • ระบบช่วยจอดระยะไกลที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถจอดรถหรือเรียกรถจากระยะไกลผ่านโทรศัพท์ได้
  • การปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารล่วงหน้าจากระยะไกลเพื่อให้มั่นใจว่าสภาพอากาศภายในห้องโดยสารพร้อมสำหรับการออกเดินทาง


 Continental GT รุ่นที่ 4 ยังมาพร้อมกับการเปิดตัว My Bentley App Studio ใหม่ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างรถยนต์และผู้ขับขี่ โดยผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ของรถยนต์เบนท์ลีย์และแอปพลิเคชันจากภายนอกที่สามารถดาวน์โหลดได้โดยตรงผ่าน My Bentley App Studio ที่รวมถึงแอปพลิเคชันต่างๆ สำหรับเพลง วิดีโอ เกม แผนที่นำทาง การจอดรถ และการชาร์จ เป็นต้น โดยแอปพลิเคชันต่างๆ สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสารได้อย่างราบรื่น และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในขณะขับรถ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้