Last updated: 16 มิ.ย. 2567 | 467 จำนวนผู้เข้าชม |
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์ล่าสุด ระบุการมาของ BEV ในช่วงปี 2566-2575 อาจกระทบต่ออุตสาหกรรมรถใช้น้ำมันทั้งภาคการผลิตและบริการกว่า 6 แสนล้านบาท หากไทยไม่ส่งเสริมขึ้นเป็นฐานผลิต BEV ควบคู่กับรถใช้น้ำมัน โดยมาตรการรัฐมีส่วนช่วยให้เกิดการผลิต BEV รองรับทั้งในประเทศและส่งออก ทำให้ผลกระทบต่อซัพพลายเชนรถใช้น้ำมันเหลือ 2.1 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.2% ของ Nominal GDP ซึ่งกลุ่มที่ควรเร่งช่วยเหลือให้ปรับตัวได้ก่อน คือ ผู้ผลิตชิ้นส่วนตั้งแต่ Tier 2 ลงมา โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรถใช้น้ำมัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า หากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไม่ทำอะไร ผลกระทบสะสมต่อซัพพลายเชนรถยนต์ในประเทศที่มีอยู่เดิม คิดเป็นมูลค่าเบื้องต้นจะลดลงถึง 6 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2566 ถึงปี 2575 โดยมาจาก (1) มูลค่าการผลิตรถใช้น้ำมันที่จะหายไปจากการผลิตรถกลุ่มนี้ที่ลดลง ขณะที่ (2) รายได้จากการขายและบริการ เนื่องจากมี BEV เข้ามาแทนที่มากขึ้น เลยมีทิศทางที่หดตัว แม้มีปริมาณรถยนต์ใช้น้ำมันสะสมในตลาดที่ยังสูงเลยช่วยพยุงไม่ให้ลดลงไปเร็วในช่วง 10 ปีข้างหน้านี้ได้
อย่างไรก็ดี การใช้มาตรการส่วนลดของภาครัฐในปี 2566 ถึงปี 2570 ที่ตั้งงบไว้ 4.5 หมื่นล้านบาท แม้เป็นต้นทุนหนึ่งที่ต้องเสียไป แต่อีกด้านได้เพิ่มผลบวกที่จะเข้ามาเพื่อพยุงอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ ทั้งจากรายได้จากการผลิต BEV ที่ เข้ามาแทนที่เพิ่มขึ้น แม้ยังอาจคาดว่าจะมีหลายชิ้นส่วนที่มีแนวโน้มการนำเข้ามา ผลิตจากต่างประเทศ เช่น เซลล์แบตเตอรี่ E-drive รวมถึงมีการชดเชยจากมาร์จิ้นที่ได้จากการส่งออกรถยนต์ BEV ซึ่งหลายค่ายได้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อส่งออก ทำให้น่าจะมีรายได้เข้ามาจากส่วนนี้ไม่น้อยกว่า 4.4 แสนล้านบาท
3.ทำให้ในช่วง 10 ปีนี้ ผลกระทบสะสมสุทธิที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยอาจหายไปน้อยกว่าเดิมที่ 2.1 แสนล้านบาท หรือประมาณ 1.2% ของ Nominal GDP ซึ่งหลังจาก 10 ปี ไปเล้ว หากธุรกิจในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยสามารถปรับตัวกับ BEV และสร้างซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งขึ้นมารองรับได้ คาดว่าอาจจะเกิดผลสุทธิเป็นบวกกลับมาในอนาคตได้
(การประเมินนี้ ยังไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบกับธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องจากการเปลี่ยนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฟฟ้า และกำหนดให้ปัจจัยอื่นๆ คงที่)
ดังนั้น การรักษาความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้ไทยยังคงเป็นฐานการผลิตรถยนต์สมัยใหม่ของภูมิภาค และการสนับสนุนกลไกการปรับตัวของซัพพลายเชน จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยนอกจากการดึงดูดการลงทุนและการสร้างระบบ Ecosystem แล้ว
อีกสิ่งสำคัญไม่แพ้กันที่ภาครัฐอาจต้องเร่งดำเนินการ คือ การเตรียมการช่วยเหลือธุรกิจที่อยู่ในซัพพลายเชนของรถยนต์ใช้น้ำมัน ให้สามารถปรับตัวได้ทันกับการมาของรถยนต์ BEV และเทคโนโลยีอื่นที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมและตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนตั้งแต่ Tier 2 ลงมา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการไทยที่อยู่ในซัพพลายเชนค่ายรถใช้น้ำมันต่างชาติ และมีความสามารถในการปรับตัวด้านเทคโนโลยีน้อยกว่ากลุ่มอื่น
รายงานวิจัยนี้จัดทำโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เพื่อเผยแพร่เป็นการทั่วไป โดยอาศัยแหล่งข้อมูลสาธารณะ หรือ ข้อมูลที่เชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือที่ ปรากฏขณะจัดทำ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ทั้งนี้ KResearch มิอาจรับรองความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ ความเหมาะสม ความครบถ้วนสมบูรณ์หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูล ดังกล่าว และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ชวน เสนอแนะ ให้คำแนะนำ หรือจูงใจในการตัดสินใจเพื่อดำเนินการใดๆ แต่อย่างใด
ดังนั้น ท่านควรศึกษาข้อมูลด้วยความระมัดระวังและใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจใดๆ KResearch จะไม่รับผิดในความเสียหายใดที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลดังกล่าว ข้อมูลใดๆ ที่ปรากฎในรายงานวิจัยนี้ถือเป็นทรัพย์สินของ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) การนำข้อมูลดังกล่าว (ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน) ไปใช้ต้องแสดงข้อความถึงสิทธิความเป็นเจ้าของแก่ KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี) หรือแหล่งที่มาของข้อมูลนั้นๆ
ทั้งนี้ท่านจะไม่ทำซ้ำ ปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข ส่งต่อ เผยแพร ่หรือกระทำในลักษณะใดๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้า เป็นลายลักษณ์อักษรจาก KResearch และ/หรือบุคคลที่สาม (แล้วแต่กรณี)
ที่มา : บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch)