X

เจาะลึกประเด็นฮอต! กรมธรรม์ประกันภัย BEV บังคับใช้ 1 มิ.ย. 2567 รายละเอียดการคุ้มครองเป็นอย่างไร? นายกสมาคมนายหน้าประกันภัยมีคำตอบ

Last updated: 8 เม.ย 2567  |  805 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ประกันภัยรถ BEV

รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) นับว่าเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้กรมธรรม์ฉบับใหม่ให้มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 และมีผลบังคับใช้ 1 มิถุนายน 2567 จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่า กรมธรรม์ใหม่จะให้ความคุ้มครองครอบคลุมในด้านใด และสามารถให้ความมั่นใจในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% ได้มากน้อยแค่ไหน? นายกสมาคมนายหน้าประกันภัยมีคำตอบ

ข้อสงสัยต่างๆ เหล่านี้ ได้มีคำตอบไขความกระจ่างได้ในระดับหนึ่งจาก...นายจิตวุฒิ ศศิบุตร นายกสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย ในงานเสวนาประจำปี 2567 (MEET EVAT!) จัดโดยสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 โดยได้กล่าวถึงทิศทางค่าประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ว่า รถยนต์ไฟฟ้าได้เข้ามาในประเทศไทยได้ประมาณสองปี ทำให้เกิดคำถามว่าทำไม? เบี้ยประกันแพง ทำไม? ไม่ส่งเสริมเรื่อง Net Zero Emission


อันที่จริงการคิดค่าเบี้ยประกันภัยมาจากพื้นฐานในเรื่องค่าแรงในการซ่อม ค่าอะไหล่ และในด้านพฤติกรรมการใช้รถ ประกอบกับรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเรา จึงยังไม่มีสถิติเหล่านี้ ทำให้ต้องหาข้อมูลจากต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน แต่ก็ยังไม่ชัดเจน

ปัจจุบันได้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในไทยได้ประมาณ 2 ปี ความไม่รู้เริ่มกระจ่างขึ้น ประกอบกับทางสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ได้ติดต่อให้ข้อมูลกับสมาคมประกันวินาศภัย (TGIA) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) รวมทั้งมีผู้ประกอบการยานยนต์ไฟฟ้าบางรายเปิดโอกาสให้ได้เข้าไปดูโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้เข้าใจรถ BEV มากขึ้น และอาจมีการปรับลดค่าเบี้ยถูกลงบ้าง เพราะพฤติกรรมการชนระหว่างรถ BEV กับรถน้ำมันไม่ต่างกัน ดังนั้นสถิติการเคลมจึงไม่แตกต่างกัน

“ค่าเบี้ยรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังสูงกว่าเพราะราคาอะไหล่ BEV สูงกว่ารถน้ำมัน รถบางแบรนด์อะไหล่ราคาสูงกว่า 4.5 เท่า หมายความว่าถ้าแกะอะไหล่มาประกอบรถเป็นคันใหม่ จะเป็นราคารถประมาณ 4 คัน และที่ยังเป็นประเด็นอีกเรื่องก็คือการประกันภัยที่ทำกับรถน้ำมันนั้นมีทั้งซ่อมกับอู่ประกันและอู่ห้าง พอมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า การซ่อมทุกอย่างต้องเป็นอู่ห้างก่อน เพราะอู่ทั่วๆไป หรืออู่ประกันไม่กล้าซ่อม ถ้าฝืนไปซ่อมวารันตีขาดแน่นอน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวารันตี 5 ปี 8 ปี”

นายจิตวุฒิ กล่าวต่อไปอีกว่า สถานการณ์ที่ผ่านมาทำให้ คปภ.ที่เป็นหน่วยงานควบคุมและตรวจสอบฯ ได้มีการออกกรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่ขึ้นมาสำหรับรถ BEV โดยประกาศเริ่มมีผล 1 มกราคม 2567 และบังคับใช้ 1 มิถุนายน 2567 หมายความว่ารถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่ทำประกันฯ ทุกคันต้องใช้กรมธรรม์ฉบับนี้ รถที่ซื้อมาก่อน 1 มิถุนายน ที่จะต่ออายุประกันภัยหลัง 1 มิถุนายน 2567 บริษัทประกันภัยต้องออกกรมธรรม์สำหรับรถ BEV ให้กับผู้ทำประกันเท่านั้น

สำหรับข้อแตกต่างระหว่างกรมธรรม์สำหรับรถ BEV กับกรมธรรม์ฉบับเดิมจะเป็นอย่างไร สามารถสรุปเป็นประเด็นคร่าวๆ ดังนี้

ประเด็นแรก ผู้ทำประกันรถ BEV ต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ 5 คน พร้อมเลขที่ใบอนุญาตขับขี่ อาชีพ และวัน/เดือน/ปีเกิดของทุกคน ในกรณีเป็นผู้ขับขี่ที่ไม่ได้ระบุชื่อลงในกรมธรรม์ แล้วไปขับชนขึ้นมา ความเสียหายส่วนแรกผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเองสำหรับตัวรถต้องจ่ายค่าซ่อม 6,000 บาทแรกก่อน ส่วนบุคคลภายนอกต้องจ่าย 2,000 บาทแรก ส่วนที่เหลือประกันฯ เป็นผู้จ่าย แต่ถ้าผู้ขับไปชนอยู่ในรายชื่อที่ระบุ 5 คนแรก เวลาเกิดอุบัติเหตุไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก

ประเด็นที่สอง กรมธรรม์ฉบับเดิมส่วนของรถประวัติดี ปีแรกถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุขับชน เวลาต่อประกันจะลดราคากรมธรรม์ 10% ถ้าปีต่อมาไม่เกิดการชนอีกก็ลดให้เป็น 20% 30% ไปเรื่อยๆ จนถึงปีที่ 5 ลด 50% สำหรับกรมธรรม์รถ BEV จะลดสูงสุด 40% โดยในปีแรกถ้าไม่ขับชนลด 20% ปีที่สอง 30% ปีที่สาม 40% ที่สำคัญถ้ารถประวัติดีต้องการย้ายบริษัททำประกัน สามารถเอา certificate ของบริษัทเดิมไปยื่นให้บริษัทประกันรายใหม่ที่จะต่อประกันว่าไม่เคยมีประวัติการชนมาก่อนก็จะทำให้ได้ส่วนลดประวัติดีติดตามตัวไปด้วย

ประเด็นที่สาม รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นระบบออโตโนมัติ หรือในส่วนของระบบการขับขี่ในเรื่องของตัวอะแด็ปทีพครุยส์ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าชนหรือว่าไม่เข้าโค้งตามที่ผู้ผลิตกำหนด โดยไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการขับขี่ของคน แต่เกิดจากมัลติฟังก์ชั่นของรถยนต์ ประกันภัยจะไม่คุ้มครองตรงนี้ แต่จะจ่ายให้ก่อน แล้วเจ้าของรถต้องไปเคลมกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ตรงนี้ต้องพิสูจน์กันก่อนว่าเกิดจากมัลติฟังก์ชั่น หรือซอฟท์แวร์ของรถยนต์หรือไม่ รวมทั้งในส่วนของไซเบอร์แอทแท็ค สมมติว่าถูกโจมตีจากไวรัส หรือการโจรกรรมทางไฟเบอร์ ประกันฯก็จะไม่จ่ายเช่นกัน

ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือส่วนของแบตเตอรี่ ที่ผ่านมาแบตเตอรี่เป็นโจทย์ เพราะราคาค่อนข้างสูง มากกว่า 50% ของราคารถ BEV มักจะมีข่าวโจมตีทำนองว่าซื้อรถราคา 1 ล้านบาท ทำทุนประกัน 8 แสนบาท ค่าแบตเตอรี่ 5 แสน ผ่อนได้ 2 เดือน แค่เอารถไปกระแทกฟุตบาทเท่านั้น ประกันบอกคืนทุนเลย คือจ่ายให้ 8 แสนบาท ทั้งที่ทิ้งเงินดาวน์กับเงินผ่อนไว้ก็ยังไม่พอกับค่ารถ ทำให้ยังเป็นหนี้ไฟแนนท์ เงินเคลมประกันภัยได้มาไม่พอจ่าย

ดังนั้น คปภ.จึงกำหนดว่ากรมธรรม์ฉบับนี้จะมีค่าเสื่อมของแบตเตอรี่ หมายถึงปีแรก เช่น รถราคา 1 ล้าน เป็นมูลค่าแบตเตอรี่ 5 แสนบาท ถ้าเกิดปีแรกต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งก้อนจ่าย 5 แสนบาท ก็คือ 100% แต่พอปีที่สองลดลงไปเหลือ 4 แสน 5 คือลดไป 10% ปีถัดไปลดอีก 10% เป็น 20% จนถึงปีที่ 5 ลด 50% ดังนั้นกรมธรรม์ฉบับนี้จะมีค่าเสื่อมแบตเตอรี่ ขณะเดียวกันถ้าเป็นกรณีซ่อมแบตเตอรี่ประกันภัยจ่าย 100% ซึ่งต่อไปต้องทำงานร่วมกันว่าจะทำอย่างไรให้สามารถซ่อมแบตเตอรี่ได้ เพราะถ้าเปลี่ยนแบตเตอรี่ผู้บริโภคจะเดือดร้อน

ขณะเดียวกันในส่วนของการใช้กรมธรรม์รถ BEV “นายจิตวุฒิ” ระบุว่าจะนำไปใช้เฉพาะส่วนของรถยนต์ส่วนบุคคลก่อน แต่ถ้าเป็นรถของบริษัท รถคอมเมอร์เชียล หรือรถเช่า ยังไม่เริ่มใช้ในตอนนี้ ในส่วนของ Charger หรือ Wallbox สำหรับชาร์จไฟที่บ้านตัวกรมธรรม์จะขยายความคุ้มครองให้ฟรีเฉพาะชาร์จเจอร์แบบพกพาที่แถมมาในรูปแบบ Accessory จะคุ้มครองให้เฉพาะกรณีไฟไหม้ หรือถูกโจรกรรมเท่านั้น ส่วน liability หรือ ความรับผิด ที่เกิดจาก Wallbox เช่น ชาร์จแล้วไฟไหม้ ประกันจะไม่จ่าย คือจะคุ้มครองเฉพาะตัว Wallbox เท่านั้น ถ้าต้องการประกันไฟไหม้ต้องซื้อเพิ่ม นอกจากนี้ในกรณีเอาแบตเตอรี่ หรือตัวรถไปโมดิฟาย กรมธรรม์ก็จะยกเว้นไม่จ่ายเช่นกัน

ทั้งหมดเป็นประเด็นหลัก ๆ ของกรมธรรม์รถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่นายกสมาคมนายหน้าประกันภัยไทย หยิบยกมาอธิบายในงานเสวนาประจำปี 2567 (MEET EVAT!) ให้เห็นถึงทิศทางค่าประกันรถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัยมีความพยายามไดนามิกตามความเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งมีการเปลี่ยนระบบให้สามารถซัพพอร์ตธุรกิจ BEV และ Net Zero Emission

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้