X

ขยับสู่หลักพัน! ยอดผลิตรถ BEV ในไทย 2 เดือนแรกปี 2567 ปั๊มออกมา 1,421 คัน แต่ยังไม่เต็มแม็กซ์ คาดกลางปียอดพุ่ง

Last updated: 1 เม.ย 2567  |  1181 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ยอดผลิตรถ BEV ในไทย

จับตาดูตลาดรถ EV ในไทย 2 เดือนแรก ปี 2567 ยอดผลิตรถ BEV วอลุ่มขยับสู่หลักพัน ยอดผลิตรวม ม.ค.-ก.พ. 1,421 คัน ยอดขาย BEV  ก.พ. ยังดี อยู่ที่ระดับ 14,575 คัน  ยอดจดทะเบียนใหม่ป้ายแดง BEV ก.พ. 6,335 คัน ลดลง 16% แต่ยังสูงพอที่จะดันยอดจดทะเบียนสะสมของรถยนต์ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% ในไทยทะลุ 1.5 แสนคันไปแล้ว

ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 มีจำนวน 102,950 คัน แบ่งเป็น

  • รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine (ICE) จำนวน 62,239 คัน
  • รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle (BEV)   มีจำนวน 1,421 คัน
  • รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) มี 942 คัน
  • รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle (HEV) 38,348 คัน

*เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 175,436 คัน แยกเป็นรถยนต์สันดาปภายใน ICE 163,407 คัน HEV 12,029 คัน

หลังจากโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเริ่มเดินเครื่อง ตัวเลขการผลิตก็ค่อยๆงอกเงย อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในเดือน ม.ค. 2567 ปั๊มรถ BEV ลอตแรกออกมา 655 คัน ล่าสุด ส.อ.ท. เผยยอดผลิตรถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle (BEV) เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ว่ามีจำนวน 766 คัน ทำให้ยอดผลิตรถ BEV ในไทย 2 เดือนแรกของปี 2567 ขยับสู่หลักพันคัน ยอดผลิตรวม ม.ค.-ก.พ. 2567 เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 1,421 คันแล้ว



อย่างไรก็ตาม นี่ยังเป็นก้าวแรกๆในการผลิตเท่านั้น หากโรงงานของค่ายต่างๆเดินเครื่องเต็มที่จะสามารถผลิตรถ BEV ได้มากกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว เฉพาะโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ NETA ที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน กรุงเทพมหานคร มีกำลังการผลิตอยู่ที่  20,000 คัน/ปี หลังจากรับรู้ยอดจองในงานมอเตอร์โชว์คงจะเร่งปั๊มรถใหม่ออกมาเพื่อส่งมอบให้ทันความต้องการ



ส่วนค่าย Honda นั้นยอดผลิต Honda e:N1 อาจจะไม่สูงมากนัก เนื่องจากปรับกลยุทธ์การทำตลาดเป็นการเช่าซื้อ โดยมุ่งกลุ่มลูกค้าองค์กรเป็นหลัก จากต้นทุนการผลิตที่สูง

ส.อ.ท. เผยยอดส่งออกรถยนต์ ก.พ. 2567 จำนวน 88,720 คัน โต 0.22%

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย จำนวนการผลิต ยอดขายภายในประเทศ และการส่งออกรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของประเทศ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ดังนี้

จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีทั้งสิ้น 133,690 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ร้อยละ 19.28 และลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 5.92 เพราะการผลิตเพื่อส่งออกและผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงร้อยละ 9.25 และ 32.96 ตามลำดับ

การผลิตเพื่อส่งออกลดลงจากการผลิตรถกระบะลดลงเพราะบางบริษัทขาดชิ้นส่วนบางชิ้น ส่วนการผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงจากการผลิตรถยนต์นั่งลดลงเพราะถูกรถยนต์ไฟฟ้านำเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาด และจากการผลิตรถกระบะลดลง เพราะยอดขายลดลงจากการเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน

จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 รวมกันมีจำนวนทั้งสิ้น 275,792 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2566 ร้อยละ 15.90

รถยนต์นั่ง เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ผลิตได้ 50,441 คัน โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine จำนวน 29,587 รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle (BEV) จำนวน 766 คัน รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) มี 541 คัน รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle (HEV) มีจำนวน 19,547 คัน 

ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 มีจำนวน 102,950 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2566 ร้อยละ 10.99 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine จำนวน 62,239 คัน รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 1,421 คัน รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มี 942 คัน รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle 38,348 คัน 

ด้านยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,843 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม 2567 ร้อยละ 3.60 และลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 26.15 เพราะยอดขายรถกระบะและรถยนต์นั่งลดลงร้อยละ 43.2 และ 20.1 ตามลำดับจากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อตามนโยบายการให้กู้แบบรับผิดชอบและหนี้ครัวเรือนสูง และยอดขายรถ PPV ลดลงร้อยละ 47.6 จากการไปซื้อรถยนต์นั่งตรวจการณ์ที่เป็น HEV มากขึ้นเพราะราคาถูกกว่า รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศยังเติบโตในระดับต่ำเพราะงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ล่าช้าไปถึงเดือนเมษายน ทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐลดลง

รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 31,536 คัน เป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 13,360 คัน รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 4,731 คัน รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 255 คัน รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 13,190 คัน

ตั้งแต่เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 รถยนต์มียอดขาย 107,657 คัน ลดลงจากปี 2566 ในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 21.49 แยกเป็นรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ 65,900 คัน รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 27,668 คัน รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 14,575 คัน รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 303 คัน รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 23,354 คัน

ด้านการส่งออก เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ส่งออกได้ 88,720 แยกเป็นรถยนต์สันดาปภายใน ICE 81,644 คัน ส่งออกรถยนต์ HEV 7,076 คัน 

เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 175,436 คัน แยกเป็นรถยนต์สันดาปภายใน ICE 163,407 คัน HEV 12,029 คัน 

ยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 BEV 6,335 คัน ลดลงร้อยละ 15.94 , HEV 11,991 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.38  และ PHEV 894 คัน ลดลงร้อยละ 28.42 โดยเทียบเป็นรายปี​​

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภาพรวมปริมาณการจดทะเบียนใหม่ยานยนต์ไฟฟ้าของไทยประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ดังนี้

ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนกุมภาพันธ์ 2567 

เดือนกุมภาพันธ์ 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 6,335 คัน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ร้อยละ 15.94

รถยนต์นั่งและรถยนต์ประเภทต่าง ๆ มีทั้งสิ้น 3,629 คัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 3,530 คัน รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน 94 คัน รถยนต์บริการธุรกิจ 1 คัน รถยนต์บริการทัศนาจร 1 คัน รถยนต์บริการให้เช่า 3 คัน รถกระบะ รถแวน  41 คัน รถยนต์สามล้อรับจ้าง 2 คัน

รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 2,587 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ร้อยละ 40.45 รถโดยสารมีทั้งสิ้น 18 คัน รถบรรทุกมีทั้งสิ้น 58 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ร้อยละ 5,700

ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนกุมภาพันธ์  2567 

เดือนกุมภาพันธ์  2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 11,991 คัน  เพิ่มขึ้น จากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ร้อยละ 51.38

ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนกุมภาพันธ์ 2567 

เดือนกุมภาพันธ์ 2567 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 894 คัน ลดลง จากเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ร้อยละ 28.42 เป็นรถยนต์นั่งทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปลายปี 2567 จนมาถึง 2 เดือนที่ผ่านมา จะมีรถยนต์ไฮบริด (HEV) มากขึ้นและราคาถูกลงตาม ซี.ซี.ในราคาระดับ 7-8 แสนบาทต่อคัน ซึ่งส่วนนี้มาแข่งขันกับรถอีวี ถือเป็นเรื่องของกลไกการตลาด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้