Last updated: 5 มี.ค. 2567 | 461 จำนวนผู้เข้าชม |
กรมการขนส่งทางบก เผยสถิติการจดทะเบียนรถพลังงานไฟฟ้า ระหว่างเดือนต.ค. 2566 – ม.ค. 2567 มีจำนวน 48,096 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 324.13% ระบุมาตรการลดภาษีประจำปีร้อยละ 80 สำหรับรถ EV ป้ายแดง ดำเนินการถึงวันที่ 10 พ.ย.2568
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กล่าวเทรนด์การหันมาใช้รถพลังงานไฟฟ้าหรือรถ EV (Electric Vehicle) เพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 กำลังเป็นที่นิยมและมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้สถิติการจดทะเบียนรถพลังงานไฟฟ้าตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ระหว่างเดือน ต.ค. 2566 – ม.ค. 2567) มีจำนวนทั้งสิ้น 48,096 คัน เมื่อเทียบกับจำนวนการจดทะเบียนฯในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ในช่วงเวลาเดียวกัน ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 11,340 คัน เท่ากับว่ามีอัตราการจดทะเบียนฯ เพิ่มขึ้น จำนวน 36,756 คัน คิดเป็น 324.13%
ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินมาตรการลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เป็นรถใหม่สำเร็จรูปจากโรงงานและนำมาจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้รถพลังงานไฟฟ้า เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ได้กล่าวต่อไปว่ามาตรการลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เป็นรถใหม่สำเร็จรูปจากโรงงานและนำมาจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์นั้นยังคงดำเนินการอยู่จนถึงวันที่ 10 พ.ย. 2568 โดยลดภาษีลงร้อยละ 80 จากอัตราที่กำหนดตาม (11) ของอัตราภาษีประจำปีท้ายพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้
- รถเก๋งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนัก 1,800 กิโลกรัม ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 1,600 บาท ลดภาษีประจำปีแล้ว คงเหลือ 320 บาท
- รถตู้ส่วนบุคคลที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนัก 1,800 กิโลกรัม ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 800 บาท ลดภาษีประจำปีแล้ว คงเหลือ 160 บาท
- ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 50 บาท ลดภาษีประจำปีแล้ว คงเหลือ 10 บาท เป็นต้น
มาตรการลดภาษีฯจะเริ่มตั้งแต่วันที่ยานยนต์ไฟฟ้าคันนั้นจดทะเบียนเป็นระยะเวลา 1 ปี ทั้งนี้การใช้รถพลังงานไฟฟ้าหรือรถ EV (Electric Vehicle) นอกจากจะช่วยเรื่องการลดมลพิษทางอากาศโดยการใช้เทคโนโลยีการขับเคลื่อนของมอเตอร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงประหยัดภาษีประจำปีให้กับเจ้าของรถได้อีกทางหนึ่งด้วย
ที่มา : กรมขนส่งทางบก