สกพอ. ต้อนรับคณะทูตสหภาพยุโรป การันตีความพร้อมพื้นที่อีอีซี ดึงลงทุนด้านดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า BCG และบริการ

คณะทูตสหภาพยุโรปเยี่ยมชมพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และศึกษาดูงานที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยมี สกพอ. ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งการันตีความพร้อมของพื้นที่อีอีซี หวังดึงลงทุนด้านดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า BCG และบริการ

ดร. ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นผู้กล่าวเปิด การจัดประชุมหารือและรับคณะผู้แทนสหภาพยุโรปเยี่ยมชมพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) นำโดย Ms. Sara Rezoagli รักษาการแทนเอกอัครราชทูตแห่งสหภาพยุโรป (อียู) ประจำประเทศไทย และเอกอัครราชทูตจากอียู เข้าร่วมกว่า 13 ประเทศ อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส สเปน เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย เป็นต้น

ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้บรรยายพิเศษ ในหัวข้อ Investment Opportunities in EEC และตอบข้อซักถามจากเอกอัครทูตอียู เพื่อสร้างความมั่นใจถึงความพร้อมด้านต่างๆ ของอีอีซี อาทิ ความก้าวหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมสิทธิประโยชน์ใน 5 คลัสเตอร์หลัก (การแพทย์สุขภาพ ดิจิทัล ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) BCG และบริการ) การพัฒนาระบบนิเวศรับการลงทุนในมิติต่างๆ การอนุญาตอยู่อาศัยในระยะยาวกรณีพิเศษ การให้บริการภาครัฐแบบครบวงจร (EEC OSS) เป็นต้น ณ ห้องประชุมราชพฤกษ์ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี

พร้อมกันนี้ คณะจากเอกอัครราชทูตอียู ได้เข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อรับทราบความคืบหน้าการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ 3 หนึ่งในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักของอีอีซี และจะมีเป้าหมายเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้สูงถึง 18 ล้านทีอียู จากเดิม 11.10 ล้านทีอียู เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงด้านขนส่งโลจิสติกส์ของภูมิภาค ซึ่งจะเพิ่มโอกาสรองรับและดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่นักลงทุนจากกลุ่มประเทศอียู ได้ให้ความสนใจเข้าลงทุนในพื้นที่อีอีซี ได้แก่ อุตสาหกรรม BCG  ยานยนต์  ธุรกิจการบิน การแพทย์และสุขภาพ เป็นต้น

สำหรับความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทย มีมูลค่าสูงถึง 35,400 ล้านยูโร (หรือประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท) ทำให้สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของไทย และสหภาพยุโรปถือเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของไทย โดยในปี 2564 การส่งออกจากประเทศไทยไปยังสหภาพยุโรปมีมูลค่ารวมประมาณ 22,100 ล้านยูโร (หรือประมาณ 8.16 แสนล้านบาท) 

ที่มา : อีอีซี ไทยแลนด์