Last updated: 16 พ.ย. 2566 | 524 จำนวนผู้เข้าชม |
สนค. สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า แนะภาครัฐและเอกชนปรับตัวรับแนวโน้มการใช้ EV เพิ่มขึ้น รวมทั้งการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ สอดรับนโยบายรัฐบาลที่จะเป็นประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ตามเป้าหมายในปี 2065
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ติดตามสถานการณ์นโยบายและ มาตรการสำคัญที่สนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ของประเทศสำคัญ พบว่ามียุทธศาสตร์ และมาตรการสนับสนุนอย่างชัดเจน ทั้งด้านภาษีและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ เพื่อสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับเป้าหมายการเป็นประเทศที่ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ติดตามสถานการณ์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าของโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อ้างอิงจาก การคาดการณ์ขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) ว่าในปี 2023 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 14 ล้านคัน จากยอดขาย 10 ล้านคันในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 35 โดยจีนเป็นประเทศที่มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดของโลกในปี 2022 จำนวน 5.9 ล้านคัน คิดเป็นร้อยละ 58 ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมของโลก ขณะที่ประเทศไทย ข้อมูลจากกรมขนส่งทางบก พบว่ายอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (BEV: Battery Electric Vehicle) ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2023 อยู่ที่ 66,919 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 300 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ผอ.สนค. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปว่าหลายประเทศทั่วโลกสนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการจัดทำแผนและยุทธศาสตร์ที่สนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า อาทิ อินเดีย จัดทำแผนส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าระดับชาติ (National Electric Mobility Mission Plan 2020: NEMMP) เพื่อส่งเสริมการซื้อยานยนต์ไฟฟ้า และการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะ ส่วนออสเตรเลีย จัดทำแผนยุทธศาสตร์รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Strategy) เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้า มีราคาเข้าถึงได้พร้อมสนับสนุนระบบและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และกระตุ้น ความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่เวียดนาม จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนารถยนต์แห่งชาติ (2021-2050) เพื่อกระตุ้นการผลิตและเพิ่มปริมาณการใช้รถยนต์ไฟฟ้าระหว่างปี 2030-2040
นอกจากนี้ ประเทศต่าง ๆ ได้ออกนโยบายและมาตรการด้านภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า อาทิจีน ลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า นอร์เวย์จูงใจผู้บริโภคด้วยการลดภาษีเช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีจดทะเบียน ภาษีศุลกากร และภาษีถนน รวมถึงให้สิทธิพิเศษทางการเงินสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ไอซ์แลนด์มีการจูงใจทางภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและเชื้อเพลิงสะอาด และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้กับรถยนต์ไฟฟ้า และออสเตรเลีย สนับสนุนการยกเลิกภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า
บางประเทศส่งเสริมให้มีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ รถยนต์ไฟฟ้า อาทิ สหรัฐอเมริกา ใช้งบประมาณจากกฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Law) เพื่อสร้างสถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าให้รถทุกยี่ห้อสามารถใช้ร่วมกันกว่า 500,000 จุดทั่วประเทศ รวมถึง นอร์เวย์และอินเดีย มีการสร้างสถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น และไอซ์แลนด์สร้างสถานีชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และจะขยายไปยังพลังงานสะอาดและเชื้อเพลิงประเภทอื่น เช่น ไฮโดรเจน และมีเทน รวมถึงออกกฎระเบียบการก่อสร้างอาคาร เพื่อรองรับระบบและพื้นที่สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
สำหรับประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนโยบายและมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามนโยบาย 30@30 ที่ตั้งเป้าผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2030
ล่าสุด (1 พ.ย. 2023) คณะกรรมการ ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ มาตรการ EV 3.5 ในช่วงระยะเวลา 4 ปี(2024 – 2027) เพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยลดอากรนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปไม่เกินร้อยละ 40 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ผู้ซื้อ รถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับเงินอุดหนุนไม่เกิน 100,000 บาท ตามประเภทของรถและขนาดของแบตเตอรี่ ส่วนผู้ผลิตจะต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเพื่อชดเชยการนำเข้า ซึ่งต้องผลิตชดเชย 2 คันต่อการนำเข้า 1 คัน ภายในปี 2026 และผลิตชดเชย 3 คันต่อการนำเข้า 1 คัน ภายในปี 2027
นอกจากนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันสร้างความพร้อมด้านสถานีชาร์จซึ่งเป็นโครงสร้าง พื้นฐานที่สำคัญ อาทิการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยร่วมกับพันธมิตรตั้งเป้าเปิดให้บริการสถานีชาร์จกว่า 150 สถานีภายในปี 2023 ขณะที่การไฟฟ้านครหลวง ได้ติดตั้งหัวจ่ายชาร์จไฟในพื้นที่ส่วนราชการและเอกชน ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า
จากแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้ภาครัฐและเอกชน ของไทยต้องมีการปรับตัวทั้งในด้านนโยบาย/มาตรการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสนับสนุน/ส่งเสริม อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ โดยอาจนำนโยบาย/มาตรการของประเทศสำคัญและประสบความสำเร็จมาปรับใช้ ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ การผลิตตามนโยบายที่สนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ พร้อมทั้งเร่งวางระบบและพื้นที่ การให้บริการของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น และรองรับกับนโยบายของรัฐบาลที่จะเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้ได้ ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
ที่มา : สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า