Last updated: 20 ส.ค. 2566 | 794 จำนวนผู้เข้าชม |
ปอร์เช่ ปรับโฉม คาเยนน์ ครั้งใหญ่ ทั้งด้านขุมพลัง ระบบช่วงล่าง งานดีไซน์ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก กลายเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 ที่ยกระดับความเหนือชั้นรอบคัน มาพร้อมเวอร์ชั่นไฮบริด ความแรง 470 แรงม้า วิ่งด้วยไฟฟ้าได้ 90 กม. ราคาเริ่มต้น 6.59 ล้านบาท สำหรับตลาดในประเทศไทยจะเริ่มส่งมอบในช่วงเดือนตุลาคม
Cayenne E-Hybrid ติดตั้งเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ ขนาดความจุ 3 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 353 แรงม้า (260 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร โมฯกำลังเพิ่มจากรุ่นก่อน 13 แรงม้า (10 กิโลวัตต์) แรงบิดเพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ ซึ่งให้พละกำลังเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมถึง 30 กิโลวัตต์ เป็น 130 กิโลวัตต์ (176 แรงม้า) ส่งผลให้พละกำลังที่ได้จากทั้ง 2 ระบบอยู่ที่ 470 แรงม้า (346 กิโลวัตต์)
แบตเตอรี่ high-voltage ที่ติดตั้งในปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด มีความจุพลังงานเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 17.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ถึง 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับระดับของอุปกรณ์ สามารถเดินทางด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเป็นระยะทางสูงสุด 90 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP
การชาร์จใช้ระบบ on-board charger ใหม่ล่าสุดขนาด 11 กิโลวัตต์ ช่วยลดระยะเวลาการชาร์จพลังงานให้สั้นลงภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง 30 นาที เมื่อใช้กำลังไฟที่เหมาะสม ถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่ที่มีความจุมากกว่าเดิมก็ตาม ในระหว่างการขับขี่ด้วย e-hybrid driving modes จะช่วยให้รถยนต์ทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุ
ปอร์เช่ ปรับโฉมครั้งใหญ่ให้คาเยนน์กลายเป็นรถสปอร์ต SUV สุดหรู ยกระดับความเหนือชั้นในทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผล ระบบควบคุมแบบดิจิทัล ช่วงล่างใช้เทคโนโลยีล่าสุด และนวัตกรรม high-tech มากมาย “นี่คือการปรับโฉมรถยนต์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ของปอร์เช่” Michael Schätzle รองประธานกรรมการ ผู้กำกับดูแลส่วนงาน Product Line Cayenne กล่าว
ระบบไฟหน้า High-definition HD Matrix LED ให้แสงสว่างที่เหมาะสมกับทุกสภาพถนน พร้อมระบบฟอกอากาศประสิทธิภาพสูง และนับเป็นครั้งแรกของปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne) ที่ติดตั้งหน้าจอ infotainment สำหรับผู้โดยสารตอนหน้าโดยเฉพาะ รวมไปถึงการยกระดับงานดีไซน์ และพละกำลังที่เหนือกว่าในทุกรุ่นเครื่องยนต์ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เน้นย้ำตัวตนของปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne) ในฐานะยนตรกรรมสปอร์ต SUV หรู ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสปอร์ตที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน
เปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยระบบควบคุมดิจิทัลที่รองรับการใช้งานของผู้ขับขี่อย่างแท้จริง
ปอร์เช่ ติดตั้งหน้าจอแสดงผล และระบบควบคุมการทำงานด้วยแนวคิด “ประสบการณ์ใหม่สำหรับผู้ขับขี่” หรือ Porsche Driver Experience เน้นที่การใช้งาน และความสะดวกสบายสูงสุดของผู้ขับขี่ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึง โดยเฉพาะฟังก์ชั่นที่ใช้งานเป็นประจำจะถูกติดตั้งไว้บนพวงมาลัย หรือตำแหน่งที่ใกล้เคียง อาทิ การเพิ่มฟังก์ชั่นควบคุมการทำงานของระบบช่วยเหลือการขับขี่ บนปุ่มควบคุมบริเวณหลังพวงมาลัยฝั่งซ้ายมือ และย้ายตำแหน่งคันเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติไปยังแผงคอนโซลหน้า
สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มพื้นที่บริเวณคอนโซลกลาง สามารถรองรับการเก็บสัมภาระต่างๆ รวมถึงการเพิ่มขนาดและความหรูหราให้กับแผงควบคุมระบบปรับอากาศที่มาในสไตล์พรีเมียมมากยิ่งขึ้น เสริมความแม่นยำ ใช้งานง่าย ด้วยการผสมผสานสวิตช์ระบบปรับอากาศแบบกลไก และปุ่มควบคุมระดับเสียงแบบสัมผัสที่ให้ทั้งความสะดวกสบาย และภาพลักษณ์ภายในห้องโดยสารที่เรียบหรู แนวทางการพัฒนาที่เป็นหัวใจของประสบการณ์การขับขี่ Porsche Driver Experience ใหม่ คือการสร้างสมดุลย์ระหว่างระบบดิจิทัล และระบบอะนาล๊อก
นับเป็นครั้งแรกที่ปอร์เช่ออกแบบภายในห้องโดยสารของปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne) ใหม่ ด้วยการติดตั้งแผงหน้าปัดระบบดิจิทัล ขนาด 12.6 นิ้ว ดีไซน์โค้งมนในแบบ free-standing พร้อมฟังก์ชั่นการแสดงผลอันหลากหลาย และยังสามารถติดตั้งอุปกรณ์พิเศษระบบ head-up display เพิ่มเติมได้ หน้าจอหลักขนาด 12.3 นิ้วของระบบติดต่อสื่อสาร Porsche Communication Management (PCM) ผสมผสานเข้ากับอุปกรณ์อื่นบริเวณแผงคอนโซลได้อย่างกลมกลืน และช่วยให้เข้าถึงฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆของตัวรถได้อย่างง่ายดาย
หน้าจอแสดงผลขนาด 10.9 นิ้วสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า คืออีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวครั้งแรก มอบความสุนทรีย์ให้แก่ผู้โดยสารตอนหน้าตลอดการเดินทาง ผ่านการแสดงข้อมูลตัวรถ สามารถรับชมรายการความบันเทิงต่าง ๆ ด้วยระบบควบคุมที่แยกเป็นอิสระ หน้าจอแบบอิสระไม่รบกวนวิสัยทัศน์ของผู้ขับขี่ ทั้งนี้รายการความบันเทิงขึ้นอยู่กับพื้นที่จำหน่ายในแต่ละภูมิภาค
งานดีไซน์ใหม่ พร้อมนวัตกรรมเทคโนโลยีระบบไฟหน้าสุดล้ำ
ปอร์เช่ คาเยนน์ ใหม่ มีรูปลักษณ์ภายนอกที่สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าใหม่และซุ้มล้อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยเพิ่มลุคให้ดูแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ฝากระโปรงหน้าใหม่และไฟหน้าเทคโนโลยีล่าสุด เสริมให้มิติตัวรถดูกว้างขึ้น ไฟท้ายดีไซน์สามมิติ รูปทรงของท้ายรถที่ลื่นไหลอย่างต่อเนื่อง กันชนท้ายใหม่พร้อมพื้นที่ติดตั้งป้ายทะเบียนที่ดีไซน์ไว้อย่างลงตัว สร้างบุคลิกที่โดดเด่นไม่เหมือนใครจากมุมมองด้านหลังของปอร์เช่ คาเยนน์ใหม่
เพิ่มเติมเฉดสีตัวถังภายนอกให้เลือกถึง 3 เฉดสี พร้อมทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความแตกต่าง ด้วยชุดแต่ง lightweight sports packages ที่สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 33 กิโลกรัมในรุ่น คาเยนน์ คูเป้ (Cayenne Coupé) และล้ออัลลอยด์ลายใหม่ที่มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 20, 21 ไปจนถึง 22 นิ้ว เสริมมาดสปอร์ตเต็มพิกัด
ไฟหน้า Matrix LED ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น และสามารถเลือกติดตั้งไฟหน้า HD Matrix LED เป็นอุปกรณ์พิเศษได้อีกด้วย ไฟหน้าแบบใหม่นี้ควบคุมการทำงานด้วย high-definition modules 2 ตำแหน่ง ภายในโคมไฟหน้าประกอบไปด้วยหลอดไฟส่องสว่าง LED กว่า 32,000 พิกเซล ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดนี้ช่วยในการมองเห็นรถยนต์คันอื่น รวมทั้งป้องกันแสงสะท้อนจากไฟสูงของรถยนต์ที่วิ่งสวนทางจากการทำงานของ LED พิกเซลที่แม่นยำ ส่งผลให้ไม่เกิดอาการตาพร่าต่อทั้งผู้ขับขี่ และเพื่อนร่วมทาง กล่องควบคุมสามารถปรับเปลี่ยนความสว่างได้มากกว่า 1,000 ระดับ โหมดการทำงาน Customised light ช่วยยกระดับความปลอดภัย และความสะดวกสบายสูงสุดในทุกสถานการณ์การขับขี่
นอกจากนี้ปอร์เช่ยังนำเสนอระบบฟอกอากาศประสิทธิภาพสูงที่จะใช้การประเมินสภาพอากาศล่วงหน้าผ่านข้อมูลดาวเทียม predictive navigation data เพื่อตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่ผ่านเข้ามาในห้องโดยสาร และสั่งการไปยังระบบหมุนเวียนอากาศแบบอัตโนมัติ สามารถติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเซนเซอร์ตรวจจับความหนาแน่นของฝุ่นละอองในอากาศ และส่งผ่านไปยังแผ่นกรองละเอียดเป็นจำนวนหลายครั้งตามความจำเป็น ยิ่งไปกว่านั้นระบบฟอกอากาศ ioniser ยังสามารถกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ รวมทั้งมลภาวะที่ปนเปื้อนออกจากอากาศ ลดผลกระทบต่อผู้โดยสารที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ได้อีกด้วย
ผู้ขับขี่สามารถใช้งานฟังก์ชั่นช่วยเหลือการขับขี่อันหลากหลาย ซึ่งครอบคลุมไปถึงระบบจำกัดความเร็วอัตโนมัติ active speed limiter, ระบบควบคุมพวงมาลัย swerve assist และระบบช่วยเหลือขณะเข้าโค้ง cornering assist ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ adaptive cruise control นั่นหมายความว่าปอร์เช่ คาเยนน์ ใหม่ คือยนตรกรรมสปอร์ต SUV ที่มีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้รอดพ้นจากสถานการณ์คับขันได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะในขณะขับรถท่ามกลางสภาพจราจรติดขัดบนมอเตอร์เวย์ หรือบนถนนเส้นหลัก
ยกระดับสมรรถนะการขับขี่ ควบคู่กับความสะดวกสบาย
ปอร์เช่ ติดตั้งช่วงล่าง Adaptive air suspension มาพร้อมระบบควบคุมการทำงานของช่วงล่าง Porsche Active Suspension Management (PASM) ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วงล่างถุงลมปรับระดับอัตโนมัติใหม่ล่าสุด เทคโนโลยี 2-chamber และ 2-valve เปิดประสบการณ์การเดินทางด้วยช่วงล่างที่นุ่มนวล ให้ความเสถียรสูงสุดทั้งการขับขี่บนเส้นทาง on-road และ off-road เมื่อเปรียบเทียบกับระบบช่วงล่างมาตรฐาน และระบบช่วงล่างของรุ่นก่อนหน้า
ในขณะเดียวกัน ระบบช่วงล่างถุงลมแบบปรับระดับอัตโนมัติยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การบังคับควบคุมที่แม่นยำ รวมทั้งลดอาการโคลงตัวในระหว่างการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสังเกตได้ถึงความแตกต่างของการขับขี่ระหว่างโหมดการทำงาน Normal, Sport และ Sport Plus driving
ในทวีปยุโรป ปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne) ใหม่ เปิดตัวครั้งแรกด้วยทางเลือกขุมพลังเครื่องยนต์แตกต่างกัน 3 รูปแบบ เริ่มจากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาดความจุ 4 ลิตร สำหรับติดตั้งลงใน คาเยนน์ เอส (Cayenne S) ซึ่งปอร์เช่พัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนเครื่องยนต์ V6 ในรุ่นก่อนหน้า ให้พละกำลังสูงสุด 474 แรงม้า (349 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร กำลังเพิ่มขึ้นถึง 34 แรงม้า (25 กิโลวัตต์) และแรงบิดเพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร จากรุ่นก่อนหน้า
อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ดังกล่าวทั้งในรุ่นตัวถังปกติ และตัวถังคูเป้ (Coupé) จากจุดหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ภายใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดกว่า 273 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในส่วนของรุ่นเริ่มต้นของปอร์เช่ คาเยนน์ ติดตั้งเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ ขนาดความจุ 3 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 353 แรงม้า (260 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร หรือกำลังเพิ่มขึ้น 13 แรงม้า (10 กิโลวัตต์) และแรงบิดเพิ่มขึ้น 50 นิวตันเมตร จากรุ่นก่อนหน้า
เครื่องยนต์ 6 สูบดังกล่าวยังถูกนำมาประจำการเป็นขุมพลังในรุ่น คาเยนน์ อี ไฮบริด (Cayenne E-Hybrid) เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ ซึ่งให้พละกำลังเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมถึง 30 กิโลวัตต์ เป็น 130 กิโลวัตต์ (176 แรงม้า) ส่งผลให้พละกำลังที่ได้จากทั้ง 2 ระบบอยู่ที่ 470 แรงม้า (346 กิโลวัตต์)
สำหรับนอกภูมิภาคยุโรป รุ่น เทอร์โบ จีที (Turbo GT) ได้รับการกำหนดให้เป็นเวอร์ชั่นที่มีสมรรถนะสูงสุดสำหรับการขับขี่แบบ on-road รวมทั้งรับหน้าที่เป็นรุ่นเรือธงในเกือบทุกตลาดที่มีการจำหน่ายปอร์เช่ คาเยนน์ โดยสามารถเลือกตัวถังแบบคูเป้ (coupé) และอุปกรณ์นวัตกรรมเทคโนโลยีประจำรุ่นได้ทั้งหมด
นอกจากนี้ด้วยพละกำลังมหาศาลที่เพิ่มขึ้น 19 แรงม้า (14 กิโลวัตต์) รวมเป็น 659 แรงม้า (485 กิโลวัตต์) จากเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาดความจุ 4 ลิตร ส่งผลให้ปอร์เช่ คาเยนน์ เทอร์โบ จีที (Cayenne Turbo GT) มีอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลาเพียง 3.3 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดกว่า 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เพิ่มเติมอุปกรณ์มาตรฐานเต็มพิกัด พร้อมเปิดรับจองด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 6.5 ล้านบาท
ปอร์เช่ คาเยนน์ ใหม่ ได้รับการเพิ่มเติมรายการอุปกรณ์มาตรฐานมากมาย ซึ่งรวมถึงระบบไฟหน้า Matrix LED ระบบควบคุมการทำงานของช่วงล่างถุงลมปรับระดับอัตโนมัติ Porsche Active Suspension Management, ล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้ว ระบบช่วยเหลือขณะจอด Park Assist ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง รวมทั้งกล้อง Surround View ปอร์เช่วางจำหน่าย คาเยนน์ (Cayenne) ใหม่ ด้วยราคาเริ่มต้น 7.95 ล้านบาท (รุ่นตัวถัง คูเป้ (Coupé) ราคาเริ่มต้น 8.25 ล้านบาท) รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และอุปกรณ์มาตรฐานเฉพาะตลาดในแต่ละภูมิภาค
สำหรับ คาเยนน์ อี ไฮบริด (Cayenne E-Hybrid) ราคาเริ่มต้น 6.59 ล้านบาท (รุ่นตัวถัง คูเป้ (Coupé) ราคาเริ่มต้น 6.89 ล้านบาท) และ คาเยนน์ เอส (Cayenne S) ราคาเริ่มต้น 10.5 ล้านบาท (รุ่นตัวถัง คูเป้ (Coupé) ราคาเริ่มต้น 10.8 ล้านบาท) ปอร์เช่ คาเยนน์ (Cayenne) ใหม่ เปิดรับจองแล้ววันนี้และจะเริ่มทยอยส่งมอบในทวีปยุโรปช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป สำหรับตลาดในประเทศไทยจะเริ่มส่งมอบในช่วงเดือนตุลาคมนี้
เปิดตัวครั้งแรกในงาน เซี่ยงไฮ้ ออโต้โชว์
เกี่ยวกับปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ โดยได้รับการแต่งตั้งจากโรงงานปอร์เช่ ประเทศเยอรมณี ตั้งแต่ปี 2536 ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการทดสอบระดับเหรียญทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 12 คน ปัจจุบัน ปอร์เช่ ประเทศไทย มีโชว์รูมและศูนย์บริการเปิดให้บริการ 4 แห่ง คือ Porsche Centre Bangkok , Porsche Centre Pattanakarn ,Porsche City Showroom Siam Paragon ชั้น 2 ,Porsche Studio Bangkok ICONSIAM ชั้น 1 และขยายเพิ่มอีก 3 แห่งในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ ศูนย์ปอร์เช่ กัลปพฤกษ์ ศูนย์ปอร์เช่ บางนา และศูนย์ปอร์เช่ พัทยา
ที่มา: เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส
Hybrid model with more power and up to 90 kilometres electric range
In Europe, the new Cayenne debuts with three different engine versions. An extensive refinement of the four-litre V8 biturbo engine developed by Porsche replaces the previous V6 engine in the new Cayenne S. With a maximum output of 349 KW (474 PS; Cayenne S: Fuel consumption* combined (WLTP) 13.4 – 12.4 l/100 km, CO₂ emissions* combined (WLTP) 303 – 282 g/km) and a torque of 600 Nm – 25 kW (34 PS) and 50 Nm more than its predecessor – it accelerates both the SUV and the SUV Coupé to 100 km/h in 4.7 seconds. The top speed is 273 km/h. The entry into the world of the Cayenne comes with an optimised three-litre V6 turbo engine. It now generates 260 kW (353 PS) and 500 Nm, which is 10 kW (13 PS) and 50 Nm more than before.
The six-cylinder engine also forms the basis for the powertrain of the Cayenne E-Hybrid. In combination with a new electric motor that has been improved by 30 kW to 130 kW (176 PS), the combined output increases to 346 kW (470 PS; Cayenne E-Hybrid: Fuel consumption* combined (WLTP) 1.8 – 1.5 l/100 km, CO₂ emissions* combined (WLTP) 42 – 33 g/km, Electric power consumption* combined (WLTP) 30.8 – 28.7 kWh/100 km, Electric range* combined (WLTP) 66 – 74 km, Electric range* in town (WLTP) 77 – 90 km). Equipped with a high-voltage battery with a capacity increased from 17.9 kWh to 25.9 kWh, depending on the equipment level, a purely electric range according to the WLTP of up to 90 kilometres is now possible. A new 11 kW on-board charger now shortens the charging time at an appropriate power source to less than two and a half hours despite the increased battery capacity. During the trip, the optimised e-hybrid driving modes increase the efficiency of the vehicle.
Outside the EU, the Turbo GT designed for maximum on-road performance is still the top model in the Cayenne range in most Porsche markets. It is available exclusively as a coupé and benefits from all the optimisations and innovations of the model series. In addition, the output of the four-litre V8 biturbo engine of the Turbo GT has been increased by 14 kW (19 PS) to 485 kW (659 PS). The Cayenne Turbo GT accelerates from zero to 100 km/h in 3.3 seconds, with a top speed of 305 km/h.
Cayenne E-Hybrid Coupé: Fuel consumption* combined (WLTP) 1.8 – 1.5 l/100 km, CO₂ emissions* combined (WLTP) 42 – 33 g/km, Electric power consumption* combined (WLTP) 30.8 – 28.6 kWh/100 km, Electric range* combined (WLTP) 66 – 74 km, Electric range* in town (WLTP) 78 – 90 km