Last updated: 16 เม.ย 2566 | 527 จำนวนผู้เข้าชม |
BMW ปลื้มยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าพุ่ง 5 เท่า กวาดส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ระดับพรีเมียม 40.8% เตรียมรุกตลาดรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 100% เต็มสูบ
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำปี พ.ศ. 2565 ว่า บีเอ็มดับเบิลยูและมินิมียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 15,010 คัน เพิ่มขึ้น 36.1% จากปีก่อนหน้า แบ่งเป็นบีเอ็มดับเบิลยู 13,572 คัน และมินิ 1,438 คัน มีส่วนแบ่งทางการตลาดรวม 46.6% เป็นการครองแชมป์ยอดขายรถยนต์ระดับพรีเมียมในประเทศไทยเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
เมื่อเจาะลึกลงไปจะพบว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าคือรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมี่ยมที่มียอดจดทะเบียน 535 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าจากปีก่อนหน้า จาก 5 รุ่นรถที่เปิดตัวในไทย คือ บีเอ็มดับเบิลยู iX3, บีเอ็มดับเบิลยู iX, บีเอ็มดับเบิลยู i4, บีเอ็มดับเบิลยู i7 และมินิ คูเปอร์ เอสอี ทำให้มีส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ระดับพรีเมียม 40.8%
ขณะเดียวกัน บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ยังประสบความสำเร็จในตลาดรถมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซี.ขึ้นไป มียอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2565 ทั้งหมด 1,293 คัน เป็นยอดขายสูงสุดของ BMW เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า มีส่วนแบ่งทางการตลาด 10.3% และ BMW พร้อมก้าวเข้าสู่เซกเมนต์มอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้า 100% กับบีเอ็มดับเบิลยู CE 04 ที่เพิ่งเปิดตัวในงานมอเตอร์เอ็กซโปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ในปี พ.ศ. 2565 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงเติบโตและครองตำแหน่งอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมระดับโลก โดยได้ส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์รอยซ์รวม 2,399,636 คันให้กับลูกค้าทั่วโลก ในขณะที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า โดยมียอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เติบโตขึ้นเท่าตัวจากปี พ.ศ. 2564 ด้วยยอดส่งมอบรวม 215,755 คัน จากบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ พุ่งสูงขึ้นถึง 107.7% และเมื่อรวมรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด จะมียอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 372,956 คันตลอดทั้งปี เพิ่มขึ้น 35.6% จากปีก่อนหน้า สะท้อนความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดทำสถิติยอดขายรถมอเตอร์ไซค์สูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัท ด้วยยอดส่งมอบมอเตอร์ไซค์และสกู๊ตเตอร์รวม 202,895 คันทั่วโลก
นาย อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “การครองตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์พรีเมียมไทยถึง 3 ปีติดต่อกันเป็นข้อพิสูจน์ถึงการทำงานหนักและความทุ่มเทของพนักงาน ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ และพันธมิตรทุกรายของเรา ที่ร่วมแรงร่วมใจในการสร้างความพึงพอใจระดับสูงให้แก่ลูกค้า ช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์และความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จนส่งผลให้บริษัทมีผลการดำเนินงานทางธุรกิจที่โดดเด่นในระยะยาว
นอกจากนี้ BMW ยังได้คะแนนด้านความพึงพอใจของลูกค้า หรือ NPS Score เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้งในด้านการขายและบริการ เราจะยังคงมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในทุกสิ่งที่เราทำ และจะยังคงให้บริการลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เหนือกว่าพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อยกระดับประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับพวกเขา”