Last updated: 12 Aug 2023 | 1038 Views |
ดีไชน์ของแก้มยางและสูตรเนื้อยาง Energy Passive Compound ที่ช่วยลดแรงต้านทานการหมุนมากกว่าค่าเฉลี่ยของยางคู่แข่งเฉียด 30 % ประหยัดพลังงานสูงกว่า 10% ช่วยเพิ่มระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ 7% นั่นคือความแตกต่างของยาง MICHELIN e.PRIMACY ขณะที่ยาง MICHELIN Pilot Sport EV ก็ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อยานยนต์ไฟฟ้าสายสปอร์ตโดยเฉพาะ
ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนนที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนั้น นอกจากจะเป็นสัญญานบอกถึงทิศทางของอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตแล้ว ยังเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มตลาดยางรถยนต์ด้วยว่าต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีสันดาปภายในไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าเป็นรถยนต์ไฮบริด (HEV) ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) หรือ รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV)
ปัจจุบันมีผู้ผลิตยางรถยนต์ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้าและทำการแนะนำสู่ตลาดประเทศไทยแล้วคือค่ายมิชลิน ที่ผลิตออกมาด้วยกัน 2 รุ่น คือ ยางมิชลิน อี.ไพรมาซี่ (MICHELIN e.PRIMACY) และ ยางมิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี (MICHELIN Pilot Sport EV) ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้ลดการสิ้นเปลืองแบตเตอรี่ เพิ่มระยะทางในการขับขี่ ลดเสียงรบกวน และมีความปลอดภัยในการขับขี่
ยางรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 2 รุ่น ล้วนแล้วแต่ผ่านการทดสอบว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ยางมิชลิน อี.ไพรมาซี่ คือยางรักษ์โลกสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด ที่เน้นประสบการณ์ขับขี่แบบพรีเมียม
• ได้รับการพัฒนาและออกแบบเพื่อรถพลังงานไฟฟ้าและไฮบริดโดยเฉพาะ
• ลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซ CO2 [1][2]
• เพิ่มระยะการใช้งานแบตเตอรี่[2][3]
• อายุการใช้งานยาวนาน[4] ลดปริมาณขยะ
• ปลอดภัย มั่นใจตั้งแต่วันแรกที่ใช้จนถึงวันที่เปลี่ยนยางรอบถัดไป
• นุ่มเงียบ ตามสไตล์ยางมิชลิน ช่วยยกระดับประสบการณ์ขับขี่รถไฟฟ้าอย่างแท้จริง
ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)[1][2][3]
ยาง MICHELIN e.PRIMACY มีประสิทธิภาพต้านแรงต้านทานการหมุนของล้ออยู่ในระดับ AAA ซึ่งเหนือกว่าค่าเฉลี่ยยางคู่แข่งชั้นนำ 29.1%[3] ช่วยให้ลดการสิ้นเปลืองพลังงานสูงถึง 9.7%[1][2]
สูตรเนื้อยาง Energy Passive Compound ที่ใช้อีลาสโตเมอร์ที่มีความยึดหยุ่นสูงเป็นพิเศษ ช่วยให้อีลาสโตเมอร์สามารถเชื่อมกับสารเติมเสริมแรง (Filler) ได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การกระจายพลังงานภายในยางทำได้ดี แรงต้านทานการหมุนของล้อและการสิ้นเปลืองพลังงานจึงลดลงตามไปด้วย
Slim Belt เข็มขัดรัดหน้ายางแบบใหม่ ที่มีความบางลง แต่ยังให้ความแข็งแกร่งเท่าเดิม ช่วยให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถไฮบริดสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนได้มากขึ้น
เพิ่มระยะการใช้งานแบตเตอรี่[1][2][3]
ยาง MICHELIN e.PRIMACY มีส่วนช่วยเพิ่มระยะการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุดถึง 7% นั่นคือประมาณ 30 กิโลเมตรต่อความจุแบตเตอรี่สำหรับการเดินทาง 400 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ ภูมิอากาศ และสภาพการใช้งาน) ซึ่งมาจากการดีไชน์ของแก้มยางและสูตรเนื้อยางที่ช่วยลดแรงต้านทานการหมุนที่มากกว่าค่าเฉลี่ยของยางคู่แข่งชั้นนำถึง 29.1%[3] ช่วยให้ประหยัดพลังงานสูงถึง 9.7%[1][2] ให้คุณขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าหรือไฮบริดได้ไกลขึ้นกว่าเดิม
อายุการใช้งานยาวนาน [4] ลดปริมาณขยะ
ยาง MICHELIN e.PRIMACY มีอายุการใช้งานยาวนาน ช่วยให้ลดปริมาณขยะจากการเปลี่ยนยางเร็วกว่าที่จำเป็น เพราะความทนทานต่อการสึกหรอเหนือกว่าค่าเฉลี่ยคู่แข่งชั้นนำ 18.3%[4] เทคโนโลยี MaxTouch Construction™ ที่ช่วยเพิ่ม
พื้นที่หน้าสัมผัสระหว่างยางล้อกับผิวถนน ทั้งยังช่วยกระจายแรงกดให้สม่ำเสมอตลอดหน้ายางขณะเร่งความเร็ว เบรก และเข้าโค้ง ส่งผลให้หน้ายางมีอายุใช้งานนานและยังคงให้สมรรถนะดี ปลอดภัย
นุ่มเงียบ ช่วยยกระดับประสบการณ์ขับขี่รถไฟฟ้าอย่างแท้จริง
ยกระดับประสบการณ์ขับขี่รถไฟฟ้าขึ้นไปอีกขั้นด้วยความนุ่มเงียบสไตล์ยางมิชลินที่ผสาน 2 สุดยอดเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว
Acoustic Technology เทคโนโลยีพิเศษโดยนำโฟมโพลียูรีเทน (Polyurethane Foam) มาติดตั้งไว้ที่ท้องยางช่วยดูดซับการสั่นสะเทือนของอากาศภายในยาง จึงช่วยลดเสียงก้องภายในยาง (Cavity Noise) ลง ช่วยให้การขับขี่เงียบสงบมากขึ้น (เทคโนโลยีนี้มีในยางขอบ 19 นิ้วขึ้นไป บางขนาดเท่านั้น)
ผลการทดสอบ
1) ยางมิชลิน อี-ไพรมาซี่ ใหม่จะมีแรงต้านทานการหมุนของล้อต่ำกว่ายางคู่แข่งเฉลี่ยอยู่ที่ 2.6 กิโลกรัมต่อตัน ซึ่งเทียบเท่ากับการลดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ถึง 0.42 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร (9.7%) หรือการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 9.8 กรัม สำหรับรถโตโยต้า คัมรี รุ่นไฮบริด เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร
2) ระหว่างการใช้งาน ยางมิชลิน อี-ไพรมาซี่ จะมีแรงต้านทานการหมุนของล้อต่ำกว่ายางคู่แข่งเฉลี่ยอยู่ที่ 2.6 กิโลกรัมต่อตัน (แรงต้านทานการหมุนของล้อจะคงที่ตลอดช่วงอายุการใช้งานยาง) ซึ่งเทียบเท่ากับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 443 กรัม (9.7%) โดยประเมินจากฐานเฉลี่ยเมื่อใช้ยางเส้นใหม่วิ่งเป็นระยะทาง 45,000 กิโลเมตร
ทั้งนี้ การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอาจแตกต่างออกไป ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ ตลอดจนรถยนต์และแรงดันลมยางที่ใช้
3) ยางมิชลิน อี-ไพรมาซี่ มีแรงต้านทานการหมุนของล้อต่ำกว่ายางของคู่แข่งชั้นนำ 29.1%
แหล่งที่มา: การทดสอบแรงต้านทานการหมุนของล้อ ซึ่งจัดทำโดยศูนย์วิจัยและเทคโนโลยียานยนต์แห่งประเทศจีน (CHINA AUTOMOTIVE TECHNOLOGY AND RESEARCH CENTER: CATARC) ตามคำขอของมิชลิน ในเดือนกันยายน 2563 อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ รถยนต์ที่ใช้ และสภาพดอกยาง
4) ยางมิชลิน อี-ไพรมาซี่ มีอายุความทนทานต่อการสึกหรอเหนือกว่าคู่แข่ง 18.3%
แหล่งที่มา: การทดสอบการสึกหรอ ซึ่งจัดทำโดยศูนย์วิจัยและเทคโนโลยียานยนต์แห่งประเทศจีน (CHINA AUTOMOTIVE TECHNOLOGY AND RESEARCH CENTER: CATARC) ตามคำขอของมิชลิน ระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2563 อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างออกไป ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ รถยนต์ที่ใช้ และสภาพดอกยาง
ยางมิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี เป็นยางรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริด ที่ได้รับการพัฒนาให้เหนือกว่าด้วยสมรรถนะในการควบคุม มั่นใจตลอดอายุใช้งานสำหรับรถสปอร์ตไฟฟ้า โดยผ่านการออกแบบด้วยความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังให้สมรรถนะในการควบคุมที่ดีตลอดอายุใช้งาน ช่วยให้รถสปอร์ตไฟฟ้าของคุณ ขับสนุก นุ่มเงียบสไตล์มิชลิน[7]
• ยางมิชลินสมรรถนะสูงสำหรับรถสปอร์ตไฟฟ้า
- ให้ความมั่นใจในการบังคับควบคุมรถ แม้ขับขี่ที่ความเร็วสูง[1][2]
- ให้การยึดเกาะเป็นเยี่ยมบนถนนเปียกเพื่อความปลอดภัย ทั้งยางใหม่ และยางที่ผ่านการใช้งานจนใกล้หมดดอก[3][4]
• เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและขับสนุกไปพร้อมๆ กัน
• ขับขี่สนุกได้ไกลกว่าเดิม ลดการใช้พลังงานของแบตเตอรี่[6]
• ลดเสียงรบกวนเพื่อการขับขี่ที่นุ่มเงียบ[7]
ยางสปอร์ตรักษ์โลกสมรรถนะสูงสำหรับรถสปอร์ตไฟฟ้า
ยางมิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี พัฒนาขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งรถ 'ฟอร์มูลา อี' (Formula E) ให้ความมั่นใจในการควบคุมรถแม้ขับขี่ด้วยความเร็วสูง[1] เข้าโค้งที่ดีขึ้น 15%[2] ทั้งยังมีสมรรถนะการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยมบนถนนเปียก[3][4] ด้วยสูตรเนื้อยาง ElectricGrip ที่มีความแข็งแกร่งสูง เอกสิทธิ์เฉพาะจากมิชลิน ช่วยรองรับแรงบิดจากเครื่องยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ขับขี่รถสปอร์ตไฟฟ้าสมรรถนะสูงได้เต็มศักยภาพอย่างมั่นใจและปลอดภัย
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและขับสนุกไปพร้อมๆ กัน
ร่วมส่งเสริมสิ่งแวดล้อมด้วยการเลือกใช้ยาง 'มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี' ยางสำหรับรถสปอร์ตไฟฟ้าที่ออกแบบขึ้นด้วยความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โครงสร้าง MaxTouch Construction ของยางรุ่นนี้ช่วยเพิ่มหน้าสัมผัสระหว่างยางล้อกับพื้นผิวถนน ทั้งยังช่วยกระจายแรงกดให้สม่ำเสมอตลอดหน้ายางขณะเร่งความเร็ว เบรก และเข้าโค้ง ช่วยให้หน้ายางมีอายุใช้งานยาวนานขึ้น ให้ระยะทางวิ่งที่ไกลกว่า[6] ทั้งยังขับสนุกและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน
ขับขี่สนุกได้ไกลกว่าเดิม ลดการใช้พลังงานของแบตเตอรี่
ด้วยยาง 'มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี' รถสปอร์ตไฟฟ้าสมรรถนะสูงจะวิ่งได้ระยะทางไกลขึ้นกว่าเดิมถึง 60 กิโลเมตร[6] ต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง สูตรเนื้อยาง GreenPower ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบริเวณไหล่ยาง ขณะที่เข็มขัดรัดหน้ายางตัวบนที่บางลงกว่าเดิม และการประสานกันอย่างลงตัวกับวัตถุดิบเหมาะสม ช่วยยืดอายุการใช้พลังงานของแบตเตอรี่ ให้คุณเพลิดเพลินกับการขับขี่ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องระยะทาง
ลดเสียงรบกวนเพื่อการขับขี่ที่นุ่มเงียบ [7]
ยางมิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี ช่วยลดระดับเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารลงราว 20% ด้วยเทคโนโลยีด้านเสียง Acoustic Technology ที่ช่วยลดการสะท้อนเสียงรบกวนต่างๆ เข้าสู่ตัวรถ คุณจึงดื่มด่ำกับเสียงเพลงได้อย่างเต็มอรรถรสตลอดการเดินทาง นุ่มเงียบโดยไม่มีเสียงจากภายนอกเข้ามารบกวน ตามสไตล์มิชลิน
ผลการทดสอบ
(1) โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องขีดจำกัดความเร็วที่ระบุไว้ในประมวลกฎข้อบังคับว่าด้วยการใช้ทางหลวง
(2) มิชลินได้ทำการทดสอบความหนึบของยางในการเข้าโค้งเมื่อเดือนตุลาคม 2563 โดยนำยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ และยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 เอสยูวี’ ขนาด 255/45 R19 มาทดสอบเปรียบเทียบสมรรถนะกันด้วยเครื่องจักรกล
(3) ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ได้รับเกรดบนฉลาก ระดับ B ในเรื่องประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเปียก
(4) ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ขนาด 255/45 R19 ที่นำมาทดสอบ ทั้งยางใหม่และยางใกล้หมดดอก [“ใกล้หมดดอก” ในที่นี้หมายถึงยางที่ถูกทำให้สึกหรอด้วยเครื่องจักรจนลึกถึงสะพานยางตามระเบียบข้อบังคับของยุโรปเรื่องสะพานยาง (ECE R30r03f)] ล้วนมีคุณสมบัติเหนือกว่ามาตรฐานข้อกำหนดเรื่องประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเปียกตามระเบียบข้อบังคับของยุโรปที่ R117
(5) มิชลินสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากพื้นที่โรงงานลงได้ถึงร้อยละ 25 มาตั้งแต่ปี 2553 และตั้งเป้าที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ทั้งนี้ มิชลินได้สนับสนุนเงินทุนให้กับโครงการต่างๆ ที่มุ่งดูดซับหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้ได้รับคาร์บอนเครดิตจากโครงการเหล่านี้เทียบเท่ากับระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตกค้างในกระบวนการผลิตยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ (ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบไปจนถึงการจัดส่งผลิตภัณฑ์ยางให้กับลูกค้า) อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Livelihoods Carbon Fund ได้ที่: https://www.michelin.com/en/sustainable-development-mobility/environment/
(6) ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ได้รับฉลาก EU ระดับ B ในเรื่องความต้านทานการหมุน
(7) มิชลินได้ทำการศึกษาเรื่องแรงต้านทานการหมุนของล้อเมื่อเดือนตุลาคม 2563 โดยเปรียบเทียบระหว่างยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ (แรงต้านทานการหมุน 6.67 กิโลกรัม/ตัน) และยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 เอสยูวี’ (แรงต้านทานการหมุน 8.81 กิโลกรัม/ตัน) ที่ขนาด 255/45 R19 เท่ากัน โดยใช้รถพลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 2,151 กิโลกรัม ซึ่งจะวิ่งได้ระยะทาง 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็ม แรงต้านทานการหมุนของล้อที่ต่างกัน 2.1 กิโลกรัม/ตัน ส่งผลให้ระยะทางวิ่งของยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ เพิ่มขึ้นอีกกว่า 60 กิโลเมตร หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ของระยะทางประเมินเบื้องต้น
(8) ผลการวัดระดับเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารซึ่งดำเนินการเมื่อปี 2559 โดยใช้รถ KIA Cadenza ที่ติดตั้งยางขนาด 245/45 R19 ทั้งนี้ เป็นการวัดระดับเสียงรบกวนที่ช่วงความถี่ 170-230 เฮิรตซ์ ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับรถยนต์ที่ใช้ ขนาดและระยะวิ่งของยาง ความเร็วในการขับขี่ ตลอดจนสภาพถนน
การกล่าวถึงทางกฎหมาย
(1) โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องขีดจำกัดความเร็วที่ระบุไว้ในประมวลกฎข้อบังคับว่าด้วยการใช้ทางหลวง
(2) รับรองผลการทดสอบโดยสถาบัน Catarc ในประเทศจีน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2020 เพื่อหาความหนีบนของยางในการเข้าโค้งเมื่อเดือนตุลาคม 2563 โดยนำยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ และยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 เอสยูวี’ ขนาด 255/45 R19 มาทดสอบเปรียบเทียบสมรรถนะกันด้วยเครื่องจักรกล
(3) ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ได้รับเกรดบนฉลาก ระดับ B โดยทดสอบในห้องปฏิบัติการของมิชลิน ที่เมืองลาดูซ์ ประเทศฝรั่งเศส (มิชลินได้รับการรับรองอัตโนมัติ) ในเรื่องประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเปียก.
(4) ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ขนาด 255/45 R19 ที่นำมาทดสอบ ทั้งยางใหม่และยางใกล้หมดดอก [“ใกล้หมดดอก” ในที่นี้หมายถึงยางที่ถูกทำให้สึกหรอด้วยเครื่องจักรจนลึกถึงสะพานยางตามระเบียบข้อบังคับของยุโรปเรื่องสะพานยาง (ECE R30r03f)] ล้วนมีคุณสมบัติเหนือกว่ามาตรฐานข้อกำหนดเรื่องประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนเปียกตามระเบียบข้อบังคับของยุโรปที่ R117.
(5) มิชลินสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากพื้นที่โรงงานลงได้ถึงร้อยละ 25 มาตั้งแต่ปี 2553 และตั้งเป้าที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ทั้งนี้ มิชลินได้สนับสนุนเงินทุนให้กับโครงการต่างๆ ที่มุ่งดูดซับหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้ได้รับคาร์บอนเครดิตจากโครงการเหล่านี้เทียบเท่ากับระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตกค้างในกระบวนการผลิตยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ (ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบไปจนถึงการจัดส่งผลิตภัณฑ์ยางให้กับลูกค้า) อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Livelihoods Carbon Fund ได้ที่: https://www.michelin.com/en/sustainable-development-mobility/environment/
(6) ยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ ได้รับฉลาก EU ระดับ B ในเรื่องความต้านทานการหมุน โดยทดสอบในห้องปฏิบัติการของมิชลิน ที่เมืองลาดูซ์ ประเทศฝรั่งเศส (มิชลินได้รับการรับรองอัตโนมัติ).
(7) มิชลินได้ทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการของมิชลิน ที่เมืองลาดูซ์ ประเทศฝรั่งเศสเรื่องแรงต้านทานการหมุนของล้อเมื่อเดือนตุลาคม 2563 โดยเปรียบเทียบระหว่างยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ (แรงต้านทานการหมุน 6.67 กิโลกรัม/ตัน) และยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 เอสยูวี’ (แรงต้านทานการหมุน 8.81 กิโลกรัม/ตัน) ที่ขนาด 255/45 R19 เท่ากัน โดยใช้รถพลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 2,151 กิโลกรัม ซึ่งจะวิ่งได้ระยะทาง 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็ม แรงต้านทานการหมุนของล้อที่ต่างกัน 2.1 กิโลกรัม/ตัน ส่งผลให้ระยะทางวิ่งของยาง ‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต อีวี’ เพิ่มขึ้นอีกกว่า 60 กิโลเมตร หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ของระยะทางประเมินเบื้องต้น.
(8) ผลการวัดระดับเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร ทดสอบโดยมิชลิน ที่เมืองลอเร้นส์ ซึ่งเป็นสนามทดสอบในสหรัฐอเมริกา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 เมื่อปี 2559 โดยใช้รถ KIA Cadenza ที่ติดตั้งยางขนาด 245/45 R19 ทั้งนี้ เป็นการวัดระดับเสียงรบกวนที่ช่วงความถี่ 170-230 เฮิรตซ์ ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับรถยนต์ที่ใช้ ขนาดและระยะวิ่งของยาง ความเร็วในการขับขี่ ตลอดจนสภาพถนน
ที่มา : MICHELIN