Last updated: 12 ส.ค. 2566 | 1299 จำนวนผู้เข้าชม |
ก่อนหน้านี้ โตโยต้า ออสเตรเลีย ประกาศติดตั้ง “48-VOLT TECHNOLOGY” ไว้ในรถปิกอัพไฮบริด โตโยต้า ไฮลักซ์ รุ่นที่จะออกขายในปี 2024 ชูจุดเด่นเรื่องช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ 10% แต่ในการเปิดตัว Toyota Land Cruiser 250 รุ่นล่าสุดเมื่อ 2 สิงหาคมที่ผ่านมาก็มีเวอร์ชั่น Mild HYBRID 48V เป็น 1 ใน 5 ขุมกำลังให้เลือกกันได้แล้ว
เป็นโตโยต้า แลนด์ครุยเซอร์ 250 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 1GD-FTV 2.8 ลิตร + Mild HYBRID 48V ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8AT ที่ทำตลาดในประเทศออสเตรเลียและยุโรปตะวันตก นับเป็นรถขุมพลังไฮบริดเวอร์ชั่นแรกของโตโยต้า แลนด์ครุยเซอร์ เลยทีเดียว
เทคโนโลยีไฮบริด 48-โวลต์จะมีการติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 48 โวลต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก นอกจากจะช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ยังช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ทั้งในเส้นทางออนโรดและออฟโรด ข้อสำคัญคือมีส่วนช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
Series 250 สืบทอด DNA ของ Land Cruiser ที่ยาวนานกว่า 72 ปีนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1951 แต่ได้รับการออกแบบใหม่หมดทั้งภายนอก ภายใน ให้มีดีไซน์ที่ล้ำสมัย และสอดคล้องกับความคิดริเริ่มด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนของ Toyota มาพร้อมระบบส่งกำลังที่หลากหลาย โดยโตโยต้ามีแผนทำตลาด Land Cruiser “250” Series ใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ที่ประเทศญี่ปุ่น
Toyota Land Cruiser 2024 มาในตัวถัง Bronco-Fighting เน้นการออกแบบคลาสสิกๆในสไตล์เรโทร ถูกสร้างบนแพลตฟอร์ม GA-F เช่นเดียวกับซีรี่ส์ 300 ทำให้ 250 มีสมรรถนะแบบออฟโรดไม่แพ้รุ่นพี่ๆ ไม่ว่าจะเป็น
มิติตัวรถ ยาว 4,920 มม. กว้าง 2,139 มม. สูง 1,859 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะห่างจากพื้น 221 มม. มุมเข้าหา ออกตัว และหักมุม 30 , 22 และ 25 องศา ตามลำดับ
ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่งคู่หน้าแบบ SoftTex แบบปรับความร้อนและระบายอากาศพร้อมระบบปรับไฟฟ้า เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง ปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาดใหญ่ขึ้น 12.3 นิ้ว และระบบเสียงลำโพง 10 ตัว ระบบชาร์จมือถือแบบไร้สาย อินเวอร์เตอร์ AC 2400W
ฟีเจอร์และออปชั่นเด่น ๆ บน Toyota Land Cruiser 250 เช่นใช้ พวงมาลัยไฟฟ้า (EPS) ปรับปรุงใหม่ เมื่อขับขี่แบบออฟโรดจะให้ความรู้สึกว่าคุมพวงมาลัยได้แม่นยำขึ้น มีความคล่องขณะใช้ความเร็วต่ำ และเมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่น Lane Tracing Assist ระบบจะตัดการเชื่อมต่อกันโคลง (SDM) ทำให้การขับขี่แบบออฟโรดคล่องตัวขึ้น และมีความมั่นคงในการบังคับควบคุมเมื่อขับขี่บนถนนปกติ
เครื่องยนต์ให้เลือกหลากหลายหลากหลายถึง 5 เวอร์ชั่น
ระบบช่วงล่าง
ระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense 3.0
มีทั้งหมด 7 สีให้เลือก Black, Ice Cap, Wind Chill Pearl, Underground, Meteor Shower, Trail Dust และ Heritage Blue นอกจากนี้ยังเลือกสีภายนอกแบบทูโทนที่มีทั้งสี Trail Dust หรือสี Heritage Blue ที่จับคู่กับหลังคา Greyscape ได้ด้วย
ที่มา : TOYOTA NEWSROOM