X

BYD แชมป์ยอดขายครึ่งปีแรก SCB EIC ฟันธงปี 66 ยอดจดทะเบียนรถยนต์ EVs พุ่ง 4.9 หมื่นคัน โตทะลุ 400%

Last updated: 13 ส.ค. 2566  |  953 จำนวนผู้เข้าชม  | 

BYD แชมป์ยอดขายครึ่งปีแรก SCB EIC ฟันธงปี 66 ยอดจดทะเบียนรถยนต์ EVs พุ่ง 4.9 หมื่นคัน โตทะลุ 400%

SCB EIC วิเคราะห์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยยังเติบโตก้าวกระโดด คาดยอดจดทะเบียนรถ EVs ในปี 2566 อยู่ที่ 4.95 หมื่นคัน เติบโตสูงถึง 430% YOY มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.6% ด้านความนิยม ครึ่งปีแรก BYD ครองแชมป์ ทำยอดขายไปแล้ว 1.1 หมื่นคัน

SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ออกบทวิเคราะห์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2023 ว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวสอดคล้องกับเศรษฐกิจไทย โดยคาดการณ์ยอดการผลิตอยู่ที่ราว 1.96 ล้านคัน หรือขยายตัว 4.2% จากปีก่อน สำหรับยอดขายรถยนต์ในประเทศมีแนวโน้มเติบโตได้ที่ 3.4%  

แต่ต้องจับตาความเสี่ยงจากกำลังซื้อและตลาดส่งออกที่อาจชะลอตัว และมีความท้าทายว่าในระยะสั้นจะเผชิญแรงกดดันจากวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ในระยะปานกลาง – ระยะยาว ภาคธุรกิจยานยนต์ยังจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันกับกระแสยานยนต์ไฟฟ้าและเทรนด์ ESG ที่กำลังมาแรง

 

สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้า SCB EIC วิเคราะห์ว่ายังจะเติบโตแบบก้าวกระโดด คาดยอดจดทะเบียนรถ EVs ในปี 2566 จะอยู่ที่ราว 4.95 หมื่นคัน หรือเติบโตสูงถึง 430% YOY ส่งผลให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.6% จาก 1.1% ในปีที่ผ่านมา เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากราคาพลังงานที่ยังมีแนวโน้มผันผวน รวมทั้งแรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ รวมถึงเทรนด์ใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่กําลังมาแรง รวมทั้งสถานีชาร์จมีการขยายตัวครอบคลุมมากขึ้น ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหนุนสําคัญที่จะทําให้ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าของไทยเติบโตได้ดี  

โดยปัจจุบันมีจํานวนสถานีชาร์จราว 1,400 แห่ง ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ค่ายรถยนต์หลายแห่งก็เริ่มเดินสายการผลิตและก่อสร้างโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งเบื้องต้นคาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 กําลังการผลิตของไทยจะอยู่ที่ราว 3.5 แสนคันต่อปี

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามอานิสงส์จากการลงทุนของผู้ผลิตยานยนต์ EVs รายใหม่ ๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในด้านการจ้างงานและมูลค่าเพิ่มจากการพึ่งพาวัตถุดิบในประเทศ

ด้านความนิยม กระแสยานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ ปัจจุบันมียอดจดทะเบียน สะสมประมาณ 4.5 หมื่นคันทั่วประเทศ



ถ้าดูแยกตามแบรนด์ ปรากฎว่าแบรนด์จากประเทศจีนได้รับความนิยมสูงที่สุดและมีส่วนแบ่งตลาดราว 80% โดย BYD ครองอันดับ 1 โดยทำยอดขายครึ่งปีแรกได้ 11,171 คัน กินส่วนแบ่งตลาด 35.2% รองลงมาเป็น NETA ขายได้ 5,955 คัน/18.8% เทสลาตามมาเป็นที่ 3 ด้วยยอดขาย 5,095 คัน/16.1% MG 4,995 คัน/15.8% และ GWM 2,471 คัน/7.8%

SCB EIC เชื่อว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการก้าวไปเป็น Regional EVs hub ทั้งในด้านการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงผู้ผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์ สะท้อนจากแนวโน้มการลงทุนในอุตสาหกรรม EVs ที่เติบโตต่อเนื่องและมีความหลากหลายมากขึ้น

ในส่วนของตลาดรถบรรทุกและรถโดยสารขยายตัวได้สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยที่ทยอยกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น คาดว่ายอดจดทะเบียนรถบรรทุกจะขยายตัว 2.7% ชะลอลงจากปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มความต้องการขนส่งสินค้าทางบกที่ปรับลดลงตามภาคการส่งออก อย่างไรก็ดี ยังมีแรงสนับสนุนจากการลงทุนก่อสร้าง กอปรกับการค้าชายแดนและผ่านแดนที่ปรับตัวดีขึ้น

สำหรับยอดจดทะเบียนรถโดยสารมีแนวโน้มเติบโต 49.1% เร่งขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องกับอุปสงค์ในกลุ่มรถบัสรับส่งนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว อีกทั้ง แรงส่งจากนโยบายเปลี่ยนผ่านรถโดยสารประจำทางไป สู่รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า

ตลาดรถจักรยานยนต์มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนเช่นกัน โดยคาดว่ายอดผลิตรถจักรยานยนต์จะขยายตัวที่ราว 8.0% ขณะที่ยอดขายจะขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 2.3% เป็นผลจาก 1) การชะลอตัวของรายได้ภาคเกษตรจากปัจจัยด้านราคา และ 2) ยอดส่งออกที่ชะลอตัวเพราะแรงฉุดของตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ขณะที่อุปสงค์ของตลาดเอเชียยังฟื้นตัวได้

สำหรับความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คาดว่าในระยะสั้นจะเผชิญแรงกดดันจากวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้นและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีแนวโน้มชะลอตัว นอกจากนี้ มาตรฐานการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ก็ยังคงความเข้มงวดเนื่องจากคุณภาพสินเชื่อเช่าซื้อในภาพรวมยังคงปรับแย่ลง 

ในระยะปานกลาง – ระยะยาว ภาคธุรกิจยานยนต์ยังจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันกับกระแสยานยนต์ไฟฟ้าและเทรนด์ ESG ที่กำลังมาแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงการที่ผู้บริโภคและนักลงทุนมีแนวโน้มให้ความสำคัญและตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่สร้างผลกระทบทางบวกทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ที่มา : SCB EIC

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้