Last updated: 15 ส.ค. 2566 | 567 จำนวนผู้เข้าชม |
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สนับสนุนความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน จัดงานด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาค “ASEAN Sustainable Energy Week 2023” ขับเคลื่อน เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด สนับสนุนประเทศสู่ศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค ยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าด้วยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ระหว่างวันที่ 30 สค.-1 กย.2566
วันนี้ (28 มิถุนายน 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีต่อความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ขานรับตามนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่การใช้พลังงานสะอาด ร่วมกันจัดงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2023 (ASEW) งานแสดงเทคโนโลยีระดับภูมิภาค ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ขับเคลื่อนไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งาน ASEW จัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 33 โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยในปีนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Powering the Clean Energy Transition Toward Carbon Neutrality Goal) โดยมีเป้าหมายเป็นเวทีระดับนานาชาติเชื่อมโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีด้านพลังงานจากหลากหลายประเทศมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อร่วมกันพัฒนาและเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด สร้างความยั่งยืน และเพิ่มโอกาสให้กับประเทศไทยในอนาคต
ทั้งนี้ ASEW 2023 ถือเป็นงานแสดงสินค้าและการประชุมระดับนานาชาติที่ครอบคลุมมากที่สุดในภูมิภาค ทั้งด้านพลังงานทดแทน การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมถึงความร่วมมือระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับหน่วยงานพันธมิตร ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “แพลตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยน สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เพื่อสร้างมาตรฐานของแพ็กแบตเตอรี่และสถานีชาร์จ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ขับเคลื่อนสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
“นายกรัฐมนตรีขอบคุณการบูรณาการความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ความท้าทายเรื่องพลังงาน และสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว ทุกคนได้รับผลกระทบ และไม่สามารถแก้ไขด้วยคน คน เดียว หรือกลุ่มเดียว ประเทศเดียวได้ แต่จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้ความร่วมมือร่วมใจกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อว่ายังมีโอกาส และช่องว่าง ที่ศักยภาพของไทยสามารถเติมเต็มเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้อีกมาก ซึ่งจะช่วยไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานสะอาด พัฒนาอย่างสมดุล สู่ความยั่งยืนตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้” นายอนุชาฯ กล่าว
ที่มา : https://www.thaigov.go.th/