X

8 ข้อควรคิดก่อนเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

Last updated: 8 ต.ค. 2566  |  518 จำนวนผู้เข้าชม  | 

8 ข้อควรคิดก่อนเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าได้กลายเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ของผู้ที่สนใจออกรถป้ายแดงคันใหม่ จะด้วยต้องการเซฟค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง หรือห่วงใยในสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่น pm 2.5 ที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์สันดาปภายในก็ตามแต่

เชื่อว่าพอต้องตัดสินใจซื้อจริงๆ หลายคนอาจจะยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่มั่นใจในการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์พลังงานใหม่ด้วยหลากหลายเหตุผลแตกต่างกันไป 

ดังนั้นถ้าจะให้ชัวร์ว่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วจะไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลังควรพิจารณาอย่างรอบคอบจาก 8 ข้อความคิดก่อนเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า มาดูกัน



1.ต้องเข้าใจเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการซื้อมาใช้อย่างถ่องแท้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าประเภทใด เพราะรถยนต์ไฟฟ้าที่ค่ายรถยนต์แนะนำสู่ตลาดกันเป็นจำนวนมากนั้น มีทั้งแบบไฟฟ้าผสมกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน และรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% โดยสามารถจำแนกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้

                1)HEV-Hybrid Electric Vehicle เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ เมื่อรถใช้ความเร็วสูงขึ้นหรือเมื่อพลังงานแบตเตอรี่ลดลงถึงจุดที่ต้องชาร์จประจุไฟฟ้า ระบบจะเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแทนการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า รถยนต์ประเภทนี้ที่มีจำหน่ายในไทยหลายแบรนด์ เช่น Toyota Camry Hybrid, C-HR Hybrid, Nissan X-trail Hybrid, Haval jolion และ Honda Accord Hybrid เป็นต้น

                2)BEV-Battery Electric Vehicle เป็นรถขับเคลื่อนด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ใช้เพียงมอเตอร์ไฟฟ้าให้พลังงาน ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งการใช้งานและการบำรุงรักษารถ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพราะไม่มีการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง แบรนด์ที่ทำตลาดในเมืองไทย ได้แก่ BYD ATTO3,NETA V,ORA Good Cat,MG EP,MG 4,TESLA Model 3,TESLA Model Y,Volvo C40,Volvo XC40,Nissan Leaf,Audi e-Tron ฯลฯ

                3)PHEV-Plug-in Hybrid Electric Vehicle ระบบการทำงานเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด มีความแตกต่างกันที่สามารถชาร์จประจุไฟฟ้าได้ และขับเคลื่อนด้วยการใช้ไฟฟ้าอย่างเดียวได้ระยะทางไกลกว่าแบบไฮบริด เพราะมีแบตเตอรี่ที่เก็บประจุได้มากกว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ราคาสูงกว่าแบบไฮบริด ปัจจุบันมีจำหน่ายในไทยหลายแบรนด์ อย่างเช่น HAVAL H6, Porsche CAYENNE, BMW Series 3, 5, 7 , Volvo XC60, XC90, และ Mercedes-Benz S-Class และ E-Class  เป็นต้น

                4)FCV-Fuel Cell Vehicle เป็นรถที่ใช้พลังงานจากไฮโดรเจนเหลวมาผลิตกระแสไฟฟ้าแทนการเก็บไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ แต่มีข้อจำกัดเรื่องสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนมีน้อยมากและการใส่ถังบรรจุไฮโดรเจนเหลวไว้ในรถยังอันตราย อีกทั้งยังมีราคาสูง ในไทยจึงยังไม่มีผู้นำรถยนต์เทคโนโลยีนี้เข้ามาทำตลาด



2.พิจารณาดูความต้องการหรือความจำเป็นในการใช้งาน ผู้ใช้รถยนต์ควรถามตัวเองก่อนว่าซื้อรถเพื่อใช้งานอย่างไร เช่น ต้องการขับในเมือง ไปทำงานเช้าไปเย็นกลับในเส้นทางเดิมเป็นประจำ ขับไปเรียน ขับไปรับไปส่งลูก ขับไปติดต่อธุรกิจกับลูกค้าทุกวันทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ขับไปท่องเที่ยว หรือใช้เป็นรถขนส่งสินค้า เนื่องจากความต้องการใช้งานจะกำหนดประเภทรถยนต์ที่เหมาะสมกับผู้ใช้รถยนต์นั่นเอง

3.ต้องดูว่ามีสมรรถนะและประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้าตรงกับความต้องการใช้งานหรือไม่ ถ้าหากมั่นใจว่าต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าต้องดูระยะทางขับขี่ ต่อ 1 การชาร์จว่าขับได้ไกลแค่ไหน ถ้าหากขับรถวันละประมาณ 100 กม. ย่อมสามารถเลือกรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใดก็ได้ หรืออาจจะเป็นรุ่นความจุแบตเตอร์รี่ขนาดมาตรฐานก็ได้ แต่ถ้าต้องใช้รถระยะทางไกล หรือใช้เดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ ควรเลือกรถรุ่นที่มีความจุแบตเตอรี่สูงเอาไว้ก่อน

นอกจากนั้น ยังควรเช็กดูขนาดมอเตอร์ขับเคลื่อน ระบบระบายความร้อนแบตเตอรี่ และความสามารถในการรับพลังงานของแบตเตอรี่ว่ามีสเปครองรับการชาร์จไฟพลังงานสูงได้หรือไม่ ถ้าได้ย่อมหมายถึงรถรุ่นนั้นสามารถชาร์จแบตฯได้เต็มเร็วขึ้น



4.หัวชาร์จ ควรดูว่าชาร์จไฟได้แบบไหน รถบางรุ่นสามารถชาร์จไฟบ้านได้เลย บางรุ่นต้องติดตั้งตู้ชาร์จที่บ้าน ควรศึกษาดูว่าถ้าหากชาร์จจากสถานีชาร์จสาธารณะ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนั้นสามารถใช้บริการหัวชาร์จแบบใดได้บ้าง ซึ่งในปัจจุบันตู้ชาร์จสาธารณะมีให้บริการทั้งแบบ AC หรือ Normal Charge และแบบ DC หรือ Fast Charge

5.ออปชั่นเสริมต่างๆ มีให้หมือนกับการเลือกซื้อรถยนต์ทั่วไปหรือไม่ ต้องดูว่าออปชั่นที่ให้มากับรถเพียงพอต่อการใช้งานไหม ทั้งในเรื่องระบบ Adaptive Cruise Control Auto Pilot ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ระบบเซ็นเซอร์ หรือกล้องรอบคัน เป็นต้น

6.บริการหลังการขาย มีศูนย์บริการที่สามารถอำนวยความสะดวกได้เพียงพอหรือไม่ และต้องเช็กดูว่ามีการให้บริการตรวจเช็กระยะเทียบเท่ากับรถยนต์สันดาปภายในหรือไม่

 7.การรับประกันรถยนต์ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามักให้การรับประกันที่ 5 ปี หรือ 100,000 กม. ขึ้นไป (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ถ้ามากกว่านี้จะดีมาก นอกจากนี้ต้องดูเรื่องการรับประกันระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่ด้วย เพราะแบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญของรถไฟฟ้า ต้องได้รับการประกันคุณภาพที่สูงสมราคารถยนต์ด้วย

8.ควรเช็กเรื่องการประกันภัยด้วยว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่สนใจ สามารถทำประกันวินาศภัยได้หรือไม่ ถ้าจะให้ชัวร์ต้องดูว่าให้ความคุ้มครองรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง และให้ความคุ้มครองถึงอุปกรณ์สำคัญชิ้นอื่นอย่างเช่นตู้ชาร์จหรือไม่ มีค่าเบี้ยประกันเท่าไหร่ ให้ความคุ้มครองแค่ไหน อย่างไร?

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้