Last updated: 23 ส.ค. 2566 | 417 จำนวนผู้เข้าชม |
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินยอดขาย BEV ปี 2566 ในไทยอาจเติบโตได้กว่า 270% ส่งผลให้ยอดขายแตะ 50,000 คัน มีส่วนแบ่งการตลาด 5.8% ของตลาดรถยนต์โดยรวมของไทย คาดค่าย BEV จีนมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็น 85% ของยานยนตไฟฟ้า 100%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์สภาพตลาดรถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV) ในไทยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 ประเมินว่ามีโอกาสที่ยอดขายรถยนต์ BEV น่าจะเติบโตก้าวกระโดดได้ถึง 271.6% (YoY) ยอดขายแตะระดับ 50,000 คัน เพิ่มขึ้นจาก 13,454 คันในปี 2565 ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ BEV เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 5.8% ของตลาดรถยนต์ไทยโดยรวมที่น่าจะทำได้ระหว่าง 865,000-895,000 คัน คาดว่ารถยนต์ BEV จีนในไทยอาจเพิ่มขึ้นจาก 78% ในปีที่แล้ว เป็น 85% ของยอดขาย BEV รวมในปีนี้
แม้มีปัจจัยกดดัน แต่ BEV ยังมีปัจจัยหนุนรอบด้าน
ปี 2566 นี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าจะเป็นอีกปีที่ดีสำหรับตลาดรถยนต์ BEV ในไทย แม้ยังมีปัจจัยกดดันจากเรื่องระบบ Ecosystem ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังมีการเคลมปัญหาชิ้นส่วนและการใช้งานบ่อยขึ้น รวมถึงประเด็นการรออะไหล่ที่ยาวนาน เนื่องจากยังไม่มีฐานผลิตในไทย ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว ซึ่งแรงหนุนหลัก มาจากทั้ง ปัจจัยด้านอุปสงค์ความต้องการรถยนต์ BEV ที่ยังอยู่ในระดับสูงของผู้บริโภค อันเป็นผลของมาตรการกระตุ้นด้านราคาที่ถูกจุดจากทางภาครัฐ และการเร่งกระจายจุดชาร์จรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งาน ประกอบกับปัจจัยด้านอุปทาน โดยมีสัญญาณบวกจาก
(1) สถานการณ์การขาดแคลนชิปในการผลิต รถยนต์ที่เริ่มคลี่คลายขึ้นตามลำดับทำให้การส่งมอบรถยนต์ทำได้ดีขึ้น
(2) ค่ายรถส่งสัญญาณบุกตลาดมากขึ้นในไทย ไม่ว่าจะจากจีน ตะวันตก ญี่ปุ่น หรือแม้แต่เกาหลีใต้ โดยเตรียมเปิดตัวรถยนต์ BEV รุ่นใหม่ในไทยปีนี้หลายรุ่นหลาย Segment ตั้งแต่รถยนต์นั่งไปจนถึงรถปิกอัพ ซึ่งจะทำให้มีตัวเลือกรถยนต์ BEV ในตลาดมากขึ้น
(3) ยอดขายรถยนต์ BEV ในจีนตกลงมาก ทำให้จีนมีโอกาสส่งออกมาทำตลาดในไทยแทนมากขึ้น หลังรัฐบาลกลางจีนไม่ต่ออายุมาตรการให้เงินอุดหนุนในการซื้อรถยนต์ BEV
ปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ในด้านหนึ่งช่วยสนับสนุนให้ผู้ซื้อรถ BEV ในไทยมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงสภาวะการแข่งขันในตลาดรถ BEV ที่คงจะรุนแรงขึ้น
คาด BEV จีนมีส่วนแบ่งการตลาดในไทยปีนี้ 85%
ช่วงที่ผ่านมา มาตรการสนับสนุนของทางการจีน มีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้เกิดการเติบโตของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (New Energy Vehicles: NEVs) ในจีน มีการลงทุนของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในจีนมากมาย และมีการก่อตั้งบริษัท Startup ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถึงมากกว่า 300 บริษัท เมื่อจีนไม่ต่ออายุมาตรการสนับสนุนที่ได้สิ้นสุด ณ ปลายปี 2565 จึงส่งผลให้เกิดภาวะกำลังการผลิตส่วนเกินของรถยนต์ไฟฟ้าในจีนตั้งแต่ปลายปี 2565 จนถึงปัจจุบัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตของรถยนต์ไฟฟ้ารวมทุกบริษัทในจีน ปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ราว 60% เท่านั้น สะท้อนว่าค่ายรถต่างๆ อาจจำเป็นต้องปรับตัวขนานใหญ่ และทำให้สภาพการแข่งขันในตลาดรถยนต์ BEV จีนทวีความรุนแรงขึ้น
ยอดขาย NEV ที่ปรับลงแรงในเดือนมกราคม 2566 หลายค่ายในจีนได้มีการปรับกลยุทธ์ด้วยการลดราคาลงเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด รวมถึงการเร่งส่งออกไปต่างประเทศ ในสัดส่วนที่สูงกว่าช่วงเวลาปกติ ซึ่งนอกจากจะช่วยผลักรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตได้เกินกว่าความต้องการในจีนออกไปแล้ว อีกด้านก็ยังช่วยพยุงรายได้ของค่ายรถที่กำลังเผชิญกับปัญหาการแข่งขันกันลดราคาในจีนด้วย
เห็นได้จากเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา พบว่าการส่งออกรถยนต์ NEV ของจีนได้ขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีส่วนแบ่งถึง 22% ของจำนวนรถยนต์ NEV ที่ขายได้ทั้งหมดของจีน โดยเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่ 9% ในปีที่แล้ว ส่งผลให้บางค่ายจีนที่ทำตลาดในไทยมีการเปิดรับจองรถยนต์ BEV รอบใหม่ รวมถึงผู้ที่เคยสั่งจองไปก่อนหน้าสามารถรับรถได้เร็วขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การแข่งขันของตลาดรถยนต์ BEV ในไทยมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอีก จากจำนวนผู้เล่นที่มีแนวโน้มหนาตามากขึ้น คาดว่าจะยังมีค่ายรถในจีนอีกหลายแบรนด์ที่อาจมีแผนรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเพื่อหาโอกาสทางธุรกิจ ทั้งยังเป็นการบริหารจัดการอัตรากำลังการผลิตส่วนเกินในจีนด้วย เมื่อผนวกกับการที่ค่ายรถสหรัฐฯใช้สิทธิ FTA นำเข้าจากจีนมาไทยกำลังเตรียมจะเข้ามาลุยตลาดรถยนต์ BEV ในรุ่น Mass ทั้งยังมีค่ายรถญี่ปุ่น ตลอดจนค่ายเกาหลีและตะวันตกที่เป็นที่รู้จักในตลาดรถยนต์ BEV โลก กำลังจะตามเข้ามาทำตลาดด้วย
อย่างไรก็ดี หากประเมินจากสภาพเศรษฐกิจที่กำลังซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่ในประเทศยังมีความไม่แน่นอนแล้ว ทำให้รถยนต์ BEV ค่ายจีนที่เน้นจับตลาด Mass ด้วยระดับราคาต่ำกว่าค่ายรถสัญชาติอื่นชัดเจน น่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะนี้ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ามีโอกาสที่สัดส่วนยอดขายรถยนต์ BEV ของค่ายจีนในปี 2566 อาจเพิ่มขึ้นเป็น 85% ต่อยอดขาย BEV รวม จากปี 2565 ที่สัดส่วนอยู่ที่ 78%
ผู้ซื้อรถยนต์ BEV ไทยมีตัวเลือกและคงพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ มากขึ้น
ในปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ BEV ในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี ตลาดรถยนต์ BEV ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ทำให้เปลี่ยนแปลงได้อีกมากหรือมี Dynamic สูง แม้รถยนต์ BEV ของค่ายจีนจะเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดไปก่อน แต่การรุกตลาดของค่ายรถจีนและ ทุกๆ ค่ายในระยะต่อจากนี้ไปอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อผู้บริโภคชาวไทยมีแนวโน้มจะพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ มากขึ้น หลังมีข้อมูลใหม่ๆ ผ่านผู้ที่มีประสบการณ์การใช้รถยนต์ BEV ในรุ่นก่อนเข้ามาให้พิจารณา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าค่ายรถยนต์ BEV ที่น่าจะได้รับการตอบรับดีอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มเป็นค่ายรถที่มีแบรนด์อิมเมจในตลาด BEV เข้มแข็ง รวมถึงมีการลงทุนในเรื่องของเครือข่ายการบริการและซ่อมบำรุงที่น่าเชื่อถือและทั่วถึง เพราะรถยนต์เทคโนโลยีใหม่อย่าง BEV ยังไม่เป็นที่คุ้นเคยในวงกว้าง การที่บางค่ายรถมีการตั้งโรงงานในไทยย่อมช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคได้มากในเรื่องบริการหลังการขาย โดยเฉพาะการซ่อมบำรุงและหาอะไหล่ทดแทน ซึ่งผู้บริโภคไทยให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มาก
สำหรับการเข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ BEV ในไทยนั้น ค่ายรถแต่ละค่ายคงต้องชั่งน้ำหนักปัจจัยต่างๆ ที่เหมาะสม ทั้งระดับกำลังการผลิตในแต่ละฐานการผลิตของค่ายรถ ความเชื่อมโยงของการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน ตลอดจนซัพพลายเชน รวมถึงโอกาสของค่ายที่จะสามารถผลิตได้ Economies of scale ในไทยในอนาคต ซึ่งวัดจากโอกาสในการขายรถยนต์ BEV ในประเทศของไทยท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่สูงขึ้น และโอกาสในการส่งออกรถยนต์ BEV จากไทยผ่านการศึกษาแนวโน้มการตอบรับของผู้บริโภคโดยเฉพาะในประเทศที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวา เป็นต้น